ข้าว ซึ่งเคยเป็น อาหารหลัก ที่สำคัญมาโดยตลอด กำลังจะถูกลดบทบาทให้กลายเป็นเพียงอาหารรองหรืออาหารเสริม อันเป็นผลมาจากการที่คนในยุคปัจจุบันมีการบริโภคข้าวที่น้อยลง ด้วยเหตุนี้ กลุ่มผู้ประกอบการจึงมีการออกแบบและพัฒนาสินค้าข้าวให้มีความแตกต่างและน่าสนใจกว่าเดิม ด้วยการตั้งชื่อสินค้าให้เก๋ไก๋ไพเราะดึงดูดความสนใจ รวมทั้งการระบุชนิดของพันธุ์ข้าวบนฉลาก เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบว่าข้าวที่ตนรับประทานเข้าไปนั้นเป็นข้าวพันธุ์อะไร เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดการยอมรับในตัวผลิตภัณฑ์มากขึ้น เอกลักษณ์เฉพาะตัวประกอบกับแบรนด์สินค้าที่โดดเด่นของข้าวไต้หวัน เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าข้าวและนำมาซึ่งความสุขที่เปี่ยมล้น
กลุ่มธุรกิจ Rice House (壽米屋企業) ตั้งอยู่ในเขตเอ้อหลินของเมืองจางฮั่ว เดิมเป็นร้านขายข้าวสาร ภายหลังนายเฉินจ้าวห้าว (陳肇浩) ซึ่งเป็นรุ่นที่สองของตระกูลและมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการคนปัจจุบัน ได้ก่อตั้ง ศูนย์ค้าข้าว ขึ้นในปี 2005 พร้อมทั้งรวบรวมและทำเกษตรพันธสัญญากับชาวนากว่า 500 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกราวหนึ่งพันกว่าเฮกตาร์ โดยทำการผลิตข้าวชนิดต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์กว่า 6 ชนิดด้วยกัน อาทิ โคชิฮิคาริ (越光米) ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวจากญี่ปุ่น และข้าวสายพันธุ์ไต้หวันอย่าง ไถ 9 (台9號), ไถจง 194 (台中194號), ไถหนาน 16 (台南16號), เกาสง 147 (高雄147號) , และ ไถหนาน 11 (台南11號) เป็นต้น
Rice House ปลูกข้าวพันธุ์ดี เพื่อให้คนได้กินข้าวที่มีคุณภาพ
กลุ่มธุรกิจ Rice House ถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆ ที่ผลักดันการสร้างแบรนด์ให้กับสินค้าข้าวของไต้หวัน โดยนอกจากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ถุงข้าวสารให้มีขนาดที่เล็กลงและสวยงามมากขึ้นแล้ว ผู้จัดการเฉินจ้าวห้าวยังหันมาจับตลาดระดับบน โดยสร้างแบรนด์ Rice House ซึ่งเป็นแบรนด์ข้าวของไต้หวันในปี 2006 พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนช่องทางการจำหน่ายจากในไฮเปอร์มาร์เก็ตมาเป็นกลุ่มลูกค้าในห้างสรรพสินค้าแทน
ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าข้าวที่มีปริมาณการผลิตมากที่สุดและเป็นที่รู้จักกันดีของ Rice House คือ ข้าวโคชิฮิคาริ ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่คุณเฉินจวิ้นสง (陳俊雄) บิดาของคุณเฉินจ้าวห้าวนำเข้ามาจากญี่ปุ่น ในช่วงแรกเริ่มทดลองปลูกบนเนื้อที่ 3 เฮกตาร์ และปัจจุบันมีเนื้อที่เพาะปลูกข้าวพันธุ์ดังกล่าวทั้งหมดกว่า 800 เฮกตาร์
สำหรับพันธุ์ข้าว ไถจง 194 และ ไถหนาน 16 เป็นพันธุ์ข้าวชนิดใหม่ที่สถานีส่งเสริมและวิจัยการเกษตรไถจงและมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ร่วมกันปรับปรุงพันธุ์ได้สำเร็จในช่วงสองปีที่ผ่านมา
คุณเฉินจ้าวห้าวชี้ว่า ข้าวแต่ละพันธุ์มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น พันธุ์โคชิฮิคาริ เป็นข้าวเมล็ดสั้น มีความเหนียวนุ่มเป็นพิเศษ รสหวาน เหมาะสำหรับการทำซูชิ ขณะที่พันธุ์ไถ 9 ซึ่งมีรสหวานกลมกล่อม เหมาะสำหรับการทำดงบุริ (ข้าวหน้าต่างๆ แบบญี่ปุ่น) หรือข้าวผัด สำหรับพันธุ์ไถจง 194 มีความอ่อนนุ่ม และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จึงเหมาะกับทำโจ๊กหรือข้าวปั้นประเภทต่างๆ ส่วนพันธุ์ไถหนาน 16 เป็นพันธุ์ที่อร่อยถูกปากมาก แม้จะนำมารับประทานขณะเย็นแล้วก็ตาม ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนำไปทำซูชิ พันธุ์เกาสง 147 จะมีกลิ่นหอมคล้ายเผือก สามารถนำมาทำเป็นข้าวราดแบบต่างๆ ได้ดี สำหรับพันธุ์ไถหนาน 11 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีการผลิตมากที่สุดของไต้หวันนั้น มักจะนำไปทำเป็นข้าวกล่อง
ปลูกข้าวพันธุ์ดี เพื่อให้คนได้กินข้าวที่มีคุณภาพ เป็นค่านิยมหลักของ Rice House คุณเฉินจ้าวห้าวเปิดเผยว่า ปริมาณผลผลิตและผลตอบแทนส่งผลต่อความสมัครใจในการปลูกข้าวของชาวนา ขณะที่คุณภาพของข้าวจะมีผลต่อความต้องการรับประทานข้าวของผู้บริโภค บทบาทของ Rice House ที่สำคัญคือ เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างชาวนากับผู้บริโภคในการคัดเลือกข้าวพันธุ์ดี ตลอดจนสนับสนุนให้ชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ดี พร้อมรับประกันว่าผู้บริโภคจะได้รับประทานข้าวที่มีคุณภาพ
พันธุ์ข้าวไถ 9 ซึ่งเป็นผลงานวิจัยและพัฒนาของคุณสวี่จื้อเซิ่ง (許志聖) เมื่อปี 1993 ยังคงเป็นพันธุ์ข้าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดพันธุ์หนึ่งในตลาดข้าวของไต้หวันในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ภายหลังความพยายามอย่างยาวนานกว่า 11 ปี คุณสวี่จื้อเซิ่ง ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น ผู้ให้กำเนิดพันธุ์ไถ 9 ก็สามารถปรับปรุงข้าวพันธุ์ใหม่ได้สำเร็จอีกครั้ง ภายใต้ชื่อว่า ข้าวหอมไถจง 194 (ตั้งชื่อพันธุ์เมื่อปี 2009)
ยามที่อารมณ์ไม่ดี ต้องกินข้าวพันธุ์ไถจง 194 คุณสวี่จื้อเซิ่งเล่าจากประสบการณ์ของตัวเขาเอง ข้าวพันธุ์บาสมาติขึ้นชื่อว่าเป็น ราชินีแห่งความหอม ในระดับนานาชาติ เมื่อได้รับประทานจะช่วยทำให้มีอารมณ์ดีขึ้น
สำหรับข้าวพันธุ์ ลู่หมิง (หรือ ไถหนาน 16) เป็นพันธุ์ข้าวที่ผลิตขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง Rice House และมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University) โดยเป็นข้าวพันธุ์ใหม่ที่ได้จากการนำเครื่องหมายโมเลกุล (molecular marker : 分子標誌) มาช่วยในการคัดเลือกพันธุ์เป็นครั้งแรกของไต้หวันเมื่อปี 2012 รองศาสตราจารย์หูข่ายคัง (胡凱康) อาจารย์ประจำภาควิชาพืชไร่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันชี้ว่า ข้าวพันธุ์ไถหนาน 16 เป็นข้าวที่เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์ระหว่างพันธุ์โคชิฮิคาริกับพันธุ์ไถหนง 67 การนำเทคนิคด้านเครื่องหมายโมเลกุลมาช่วย ทำให้สามารถทราบตำแหน่งยีนที่ชัดเจน จึงช่วยลดระยะเวลาในด้านการปรับปรุงพันธุ์ ทำให้ใช้เวลาเพียงแค่ 6 ปี ก็สามารถปรับปรุงพันธุ์ใหม่ออกมาได้สำเร็จ
อิ๋นชวน กับการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ
ตำบลฟู่หลี่ (富里) เมืองฮัวเหลียน ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของไต้หวัน เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวอินทรีย์ขนาดใหญ่ของประเทศ ช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคมซึ่งตรงกับฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวของพื้นที่ในแถบฮัวเหลียนและไถตง ภาพของต้นข้าวที่ออกรวงเป็นสีทองเหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่งสุดสุดลูกหูลูกตา คือรางวัลที่เทพยดาฟ้าดินประทานให้กับชาวนาที่ทำนาอย่างยากลำบากตลอดปีที่ผ่านมา
ฟาร์มเกษตรยั่งยืนอิ๋นชวน (Yin-Chuan Organic Rice : 銀川永續農場) ได้ทำเกษตรพันธสัญญากับชาวนาราว 130 ครัวเรือน เพื่อปลูกข้าวอินทรีย์โดยเฉพาะ โดยมีพื้นที่เพาะปลูกมากถึง 300 เฮกตาร์ ปริมาณการผลิตสูงถึง 3,000 ตันต่อปี นับเป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ซึ่งข้าวอิ๋นชวน ที่ผลิตขึ้นถือว่าเป็นแบรนด์ของข้าวอินทรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของไต้หวันด้วย
พันธุ์ข้าวหลักของฟาร์มเกษตรยั่งยืนอิ๋นชวน คือพันธุ์เกาสง 139 คุณไล่จ้าวเสวียน (賴兆炫) ประธานกรรมการฟาร์มเกษตรยั่งยืนอิ๋นชวน เปิดเผยว่า การปลูกข้าวควรใช้พันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่จะปลูก ทางอิ๋นชวนเองเคยทดลองปลูกพันธุ์ใหม่ๆ หลายครั้ง แต่พอผ่านไปได้สัก 3 ปี มักเกิดการกลายพันธุ์ จึงอาจจะไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมนัก ข้าวพันธุ์เกาสง 139 ที่เลือกมาปลูกนั้นเป็นพันธุ์ข้าวดั้งเดิมที่มีมานานเกือบ 40 ปี เป็นพันธุ์ข้าวที่มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ให้ผลผลิตสูง รสชาติอร่อย แม้เป็นข้าวที่เย็นก็ยังมีความหนึบหนับ
ออร์แกนิก หรืออินทรีย์ ถือว่าเป็นจุดขายของอิ๋นชวน ด้วยเหตุนี้ การดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ จึงเป็นเป้าหมาย
ของอิ๋นชวนเช่นกัน คุณไล่จ้าวเสวียนบอกว่า ธรรมชาติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สิ่งที่เป็นที่สุดของที่สุดของการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ คือ การไม่ฝืนธรรมชาติ การทำเกษตรอินทรีย์จะให้ปริมาณผลผลิตที่น้อยกว่าการทำเกษตรแบบทั่วไปซึ่งมีการใช้ปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในการผลิตประมาณร้อยละ 20-30 แต่การทำเกษตรอินทรีย์มีความเป็นมิตรต่อผืนดินสูง จึงมุ่งเน้นที่การทำน้อยแต่ให้ได้มาก
ถึงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวได้น้อย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือระบบนิเวศวิทยาและธรรมชาติ
คุณไล่จ้าวเสวียนบอกว่า นาข้าวทั่วไปดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่ในนาข้าวอินทรีย์ตอนเช้าๆ จะมีทั้งใยแมงมุม กบนา ปลาที่พบในภูเขาสูง บางครั้งจะมีนกอีล้ำหรือนกกวักมาสร้างรัง ล่าสุดอิ๋นชวนได้ทำเกษตรพันธสัญญากับชุมชนหนานอันในตำบลอวี้หลี่ (玉里) ภายใต้ชื่อโครงการว่า นาข้าวอินทรีย์แปลงแรก บนเชิงเขาภูเขาหยก และที่นั่นพวกเขาได้เจอกับปลาไนที่เป็นพันธุ์หายากอีกด้วย นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมาก
คุณไล่จ้าวเสวียน ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นหัวหน้าแผนกการผลิตและการขาย ย้ำในตอนท้ายว่า เขาเป็นชาวนาโดยกำเนิดจึงมีความเข้าใจถึงความยากลำบากของผู้ที่เป็นชาวนาอย่างถ่องแท้ การทำเกษตรต้องคอยสังเกตดินฟ้าอากาศ ควรจะดำนาในช่วงที่อากาศเย็นที่สุด และเก็บเกี่ยวในช่วงที่อากาศร้อนที่สุด โดยเฉพาะการไถเตรียมดินเพื่อทำนาอินทรีย์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการกำจัดวัชพืชหรือการใส่ปุ๋ยจำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก เนื่องจาก ต้องใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในปริมาณที่มากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีถึง 20 เท่า
แม้จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม คุณไล่จ้าวเสวียนยังคงพยายามที่จะประคับประคองแบรนด์ข้าวอินทรีย์ไต้หวันแบรนด์แรกแบรนด์นี้อย่างเต็มที่ เขาบอกว่าสภาพดินทั่วไปของฮัวเหลียนเป็นดินเหนียว ซึ่งมีการระบายน้ำไม่ดี จึงเหมาะสำหรับเพาะปลูกข้าว การปลูกข้าวไม่ได้หมายถึงการผลิตอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นกลไกที่สำคัญในการอนุรักษ์ความอุดมสมบูรณ์ของดิน การทำนา 1 เฮกตาร์ (6.25 ไร่) สามารถช่วยลดอุณหภูมิได้เทียบเท่ากับเครื่องปรับอากาศจำนวน 20-30 เครื่องเลยทีเดียว คุณไล่จ้าวเสวียนกล่าวทิ้งท้าย
Green In Hand สร้างสรรค์ข้าวไต้หวันสู่เวทีโลก
Green In Hand (掌生穀粒) หนึ่งในผู้ประกอบการที่มีสำนักงานของบริษัทตั้งอยู่ในไทเป ซึ่งแม้จะอยู่ห่างไกลจากแหล่งผลิตข้าว แต่กลับสามารถต่อยอดสินค้าเกษตรที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันและเป็นสินค้าที่แสนธรรมดาอย่าง ข้าว ให้กลายเป็นที่รู้จักบนเวทีโลก ด้วยการหยิบจับนวัตกรรมใส่ให้กับข้าวไต้หวัน การออกแบบโดยใช้บรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กของ Green In Hand ตกเป็นเป้าสายตาของทั่วโลก จากการคว้ารางวัลการออกแบบจากเรดดอท ดีไซน์ อวอร์ด (Red Dot Design Award) ประเทศเยอรมนี และรางวัล Design for Asia Award (DFA Award) ถึงสองปีซ้อน
คุณเฉิงหยุนอี๋ (程昀儀) ผู้ก่อตั้ง Green In Hand เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นมาจากการที่บริษัทกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของข้าว ให้เป็นสินค้าสำหรับซื้อเพื่อเป็นของฝาก เพราะต้องการส่งเสริมหนทางที่จะไปสู่ระดับโลกให้กับไต้หวัน
คุณเฉิงหยุนอี๋บอกว่า ข้าวเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของขวัญจากไต้หวัน ข้าวทุกๆ คำ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายท้องทุ่งนาของไต้หวัน และรสชาติดังกล่าวนี้เองเป็นสิ่งที่คุ้มค่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะนำกลับไปลิ้มลองหากได้มาเยือนไต้หวัน
การออกแบบที่เรียบง่ายแต่มีสไตล์ของ Green In Hand ทำให้ใครเห็นใครก็ชอบ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการดีไซน์ให้มีความโดดเด่นและผู้บริโภคชอบมากที่สุดคือ ถุงผ้าลายดอกไม้ เพราะบรรจุภัณฑ์มีการตัดเย็บที่ละเอียดประณีต ทำให้คนที่ได้รับเป็นของขวัญถึงกับเสียดายและไม่อยากแกะถุงผ้าออก
คุณเฉิงหยุนอี๋เป็นชาวไต้หวันที่พ่อแม่อพยพมาจากต่างมณฑลในจีนแผ่นดินใหญ่ เธอจำได้ว่าในวัยเด็กที่บ้านจะมีคูปองสำหรับแลกข้าวสารและอาหาร ซึ่งรสชาติของข้าวที่แลกได้มานั้น ไม่อร่อยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งเธอแต่งงานเมื่ออายุ 30 ปี แม่สามีส่งข้าวสารที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ๆ จากทางบ้านที่เมืองไถตง ทางภาคตะวันออกของไต้หวันมาให้หนึ่งกระสอบใหญ่ น้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม และนั่นจึงเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ได้ลิ้มรสข้าวที่มีรสชาติอร่อย
อย่างไรก็ตาม การส่งข้าวสารทางไปรษณีย์ในสมัยนั้นยังไม่แพร่หลายเท่าไรนัก ยามที่เธอได้รับของขวัญที่หนักอึ้งเช่นนี้ นอกจากบุรุษไปรษณีย์ที่ต้องแบกข้าวสารกระสอบใหญ่จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรแล้ว คุณพ่อของเธอเองก็มักจะบ่นอุบอยู่ในใจว่า ส่งมาช่วยผู้ประสบภัยใช่ไหมเนี่ย
ในปีค.ศ.2006 สองสามีภรรยาเกิดความคิดอยากจะประกอบธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยต้องการที่จะผลักดันสิ่งที่เป็นท้องถิ่นของไต้หวัน จู่ๆ ก็นึกถึงข้าวซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ค่อยพบเห็นบนชั้นวางจำหน่ายทั่วไปเท่าไรนัก เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว จึงเริ่มทดลองที่จะนำเทคนิคการสร้างแบรนด์ไปสู่ระดับโลก มาใช้กับการส่งเสริมข้าวคุณภาพดีของไต้หวันดูบ้าง
แม้ตัวของเธอจะอาศัยอยู่ในเมืองและห่างไกลจากแหล่งเพาะปลูกข้าวก็ตาม แต่คุณเฉิงหยุนอี๋อาศัยความเป็นคนเมืองของเธอในการทำธุรกิจค้าข้าว ผลปรากฏว่าบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์และดูแปลกใหม่ ช่วยให้สินค้านั้นมีความโดดเด่นขึ้นมาก ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคต่างๆ ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มงานมงคลสมรส ตลอดจนเป็นของขวัญที่บริษัท นำมาแจกหรือมอบให้กับลูกค้าและพนักงาน
คุณเฉิงหยุนอี๋บอกว่า คำอวยพรที่ดีที่สุดสำหรับคู่บ่าวสาว คือการขอให้มีข้าวสารเต็มโอ่ง ดังนั้น การมอบข้าวมงคลในพิธีมงคลสมรสจึงแฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ขณะที่การมอบให้เป็นของขวัญจากบริษัท นับเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ เธอพูดไปพร้อมกับหัวเราะไปว่า ตอนที่เกิดสึนามิการเงินในปีค.ศ.2008 มีสถาบันการเงินในประเทศแห่งหนึ่งสั่งจองข้าวสารเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพนักงานแต่ละคน คนละ 4 ถุงเล็ก (น้ำหนักรวมประมาณ 6 กิโลกรัม) พนักงานทุกคนที่ได้รับของขวัญที่หนักอึ้งเช่นนี้ ถึงกับตกใจกันเป็นแถว
ในปีค.ศ.2014 Green In Hand เปิดสาขาแรกที่ Songshan Cultural and Creative Park ในกรุงไทเป และได้รับออเดอร์สั่งสินค้าจากลูกค้ารายใหญ่ในปีถัดมา (2015) ภายหลังจึงเปิดสาขาที่สองขึ้น ที่ถนนเหรินอ้ายในกรุงไทเป ก่อนที่จะเปิดสาขาในต่างประเทศเพิ่มอีกสองแห่งในฮ่องกง โดยตั้งเป้าที่จะขยายกิจการให้กว้างขึ้น
คุณเฉิงหยุนอี๋บอกว่า เราถือประโยชน์ของชาวนามาเป็นอันดับแรก ตอนที่เรารับซื้อในปริมาณที่มากที่สุดนั้น ได้ร่วมมือกับชาวนาประมาณ 7 คน และยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด และได้พัฒนาแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียงออกมาหลายแบรนด์ อาทิ Mr. Rice (飯先生) จากกวนซานในเมืองจางฮั่ว หรือ Salute Rice (敬農米) จากซานซิงในอี๋หลาน เป็นต้น การส่งเสริมและสนับสนุนวิถีชีวิตของไต้หวันที่งดงามในอดีตให้สืบทอดต่อไป เป็นคำขวัญของ Green In Hand แม้ว่ากลุ่มคนหรือเรื่องราวต่างๆ บนผืนดินแห่งนี้อาจจะสูญหายไปตามเวลา แต่ทว่าก็สามารถที่จะเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลาเช่นกัน เรื่องราวของข้าวไต้หวันก็เป็นเช่นนั้นแล