เดือนกันยายน 2558 ด้วยผลงาน "บันทึกกระเป๋าพเนจร" คุณหลิวจิงเหว่ย คว้าแชมป์จากการประกวดภาพวาดประกอบหนังสือที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการประกวดระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงก้องโลก เอาชนะคู่แข่งจากทั่วโลกนับร้อย กลายเป็นชาวไต้หวันคนแรกที่คว้ารางวัลดังกล่าว จากการประกวดซึ่งจัดให้มีขึ้นติดต่อกันถึง 15 ปีมาแล้ว และในปีเดียวกัน เขายังคว้ารางวัล Red Dot Design Award ของเยอรมนี ในสาขา Communication Design ด้านภาพวาดประกอบหนังสือได้อีกด้วย
และหลังจากนั้น คุณหลิวจิงเหว่ย ยังมีผลงานออกแบบบรรจุภัณฑ์อีก 2 ชิ้นที่คว้ารางวัลยอดเยี่ยมระดับโลกดังกล่าว สร้างชื่อเสียงให้ไต้หวัน ได้แก่ ผลงานการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เขาตั้งชื่อว่า "จับปลากระบอก" และ "Tea Fans" จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของไต้หวันทีเดียว
คุณหลิวจิงเหว่ย มีฝีไม้ลายมือในการวาดภาพที่บรรจงละเอียดอ่อน จนคว้ารางวัล Red Dot Design Award ของเยอรมนีได้ถึง 3 รางวัลภายในปีเดียว การวาดภาพใช้สีอย่างประณีต ผลงานที่ออกมางดงามราวกับเป็นศิลปะแห่งภาพยนตร์ จนเป็นที่จับตามองกันของบุคคลในวงการออกแบบ ซึ่งสอบถามกันเป็นพัลวันว่า นักวาดภาพประกอบหนังสือหนุ่มผู้นี้มาจากไหนกันนี่? จบการศึกษาหลักสูตรนี้หรือเปล่า? และเมื่อก่อนเคยศึกษาอยู่ที่ไหน?
พรสวรรค์แห่งนักวาดมีมาแต่เกิด
แต่คำตอบที่ได้ ก็ทำให้คนถามถึงกับตกตะลึงเลยทีเดียวว่า คุณหลิวจิงเหว่ยมิได้จบการศึกษามาทางด้านนี้โดยเฉพาะ ไม่เคยศึกษาร่ำเรียนทางด้านศิลปกรรมศาสตร์ใดๆ และปัจจุบันยังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาโทที่ Department of Visual Communication Design ของมหาวิทยาลัยเอเชียไต้หวัน(亞洲大學) เกิดในครอบครัวทหารที่จั่วอิ๋ง (左營) นครเกาสง เติบโตในหมู่บ้านครอบครัวทหาร ชอบขีดๆ เขียนๆ และชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก แต่พรสวรรค์ทางด้านนี้ของเขาก็ไม่มีใครพบเห็น
"เท่าที่จำได้ ตอนเด็กผมมักจะวาดภาพใต้ท้องทะเลตามกำแพงต่างๆ ภายในบ้านจนเต็ม ยังไม่พอนะ ต้องวาดเลยต่อไปถึงกำแพงของเพื่อนบ้านด้วย ตอนเรียนหนังสือก็ชอบวาดรูปการ์ตูนในหนังสือเรียน เวลาวาดผมจะตั้งใจมาก แต่ทุกครั้งที่วาดก็จะถูกดุด่า..." คุณหลิวจิงเหว่ยเล่าถึงความซุกซนสมัยเด็กของเขาให้เราฟัง เนื่องจากตอนนั้น ยังไม่โดดเด่นในฝีมือการวาดนัก เขาจำได้ว่าตอนเรียนหนังสือเคยถูกครูชมเฉพาะในชั่วโมงวาดเขียนเท่านั้น
เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมต้นแล้ว ได้เข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยเตรียมทหารจงเจิ้ง (中正預校) ตามความปรารถนาของคุณพ่อคุณแม่ แต่ก็เพียงเพราะคำพูดของครูวาดเขียนเพียงประโยคเดียว ทำให้คุณหลิวจิงเหว่ยตัดสินใจพักการเรียน
ในช่วงที่ใช้ชีวิตในวิทยาลัยเตรียมทหาร สิ่งที่คุณหลิวจิงเหว่ยคาดหวังและตั้งหน้าตั้งตาคอยก็คือ วิชาวาดเขียนที่จะมีเพียงสัปดาห์ละ 2 คาบเท่านั้น อาจารย์จะไม่วางกรอบความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษา คุณหลิวจิงเหว่ยมักจะใช้มือจับพู่กันแล้วก้มหน้าก้มตาตั้งอกตั้งใจอย่างใจจดใจจ่อบนกระดาษวาดเขียนแผ่นนั้น ภาพเดียวอาจใช้เวลาวาดนานเป็นเทอมทีเดียว วิญญาณเสรีแห่งจิตรกรโลดแล่นไปบนภาพวาดเหล่านั้นของเขา ปลดเปลื้องความเครียดจากชีวิตในวิทยาลัยทหารออกไปอย่างสิ้นเชิง "หากไม่มีการกำหนดเวลาที่จะต้องส่งผลงานวาดเขียนแล้ว ผมก็อาจจะวาดต่อไปเรื่อยๆๆๆ" คุณหลิวจิงเหว่ยเล่าให้ฟัง
เขาส่งผลงานก่อนปิดภาคเรียน เป็นภาพวาดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยจินตนาการ มีแขกเหรื่อลักษณะต่างๆ นานามากมายมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เมื่ออาจารย์สอนวาดเขียนเห็นภาพนั้นก็รู้สึกแปลกใจ มองดูอย่างพินิจพิเคราะห์เป็นเวลานานก่อนที่จะถามคุณหลิวจิงเหว่ยว่า "คุณมีพรสวรรค์ทางด้านการวาดภาพแบบนี้ แล้วมาเรียนเตรียมทหารทำไม"
ประโยคนี้ "โดนใจ"คุณหลิวจิงเหว่ยอย่างจัง แม้จะร่ำเรียนมาตามกรอบที่วางไว้ตั้งแต่เด็กๆ แต่เมื่อเข้ามาใช้ชีวิตในวิทยาลัยการทหารแล้ว จึงเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองมีนิสัยที่รักเสรีเป็นอย่างยิ่ง คุณหลิวจิงเหว่ยคิดในใจว่า หากในอนาคตเขาอยากจะวาดภาพอีก ก็คงจะต้องเลือกทางเดินนั้นตั้งแต่ตอนนี้เลย
เพียงเพราะภาพวาดภาพเดียว จึงตัดสินใจขอพักการเรียน
ด้วยเหตุนี้ คุณหลิวจิงเหว่ยจึงตัดสินใจพักการเรียนไว้ชั่วคราวก่อน แต่เนื่องจากเขาไม่ได้จบมาทางด้านจิตรกรรมโดยตรง การเข้าไปศึกษาต่อจึงต้องเริ่มต้นเรียนระดับมัธยมศึกษาในสายสามัญก่อน แล้วสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยต่อไป เพราะฉะนั้น คุณหลิวจิงเหว่ยจึงเลือกเฉพาะคณะที่เกี่ยวกับศิลปกรรมการออกแบบเท่านั้น
"ตอนอยู่มัธยมปลาย ผมเคยทำกิจกรรมที่ชมรมหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับงานศิลป์ในการจัดหน้า จึงรู้สึกสนุกมาก และใช้เวลานานมากในการศึกษา" คุณหลิวจิงเหว่ยรำลึกความหลังครั้งยังเรียนอยู่ในระดับมัธยมปลาย ที่ได้สัมผัสกับซอฟต์แวร์สำหรับการดีไซน์ แม้จะไม่ค่อยมีแหล่งที่มามากมายนัก แต่ก็ยังคิดที่จะพัฒนาตัวเอง ต้องก้าวหน้าในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วยการพึ่งลำแข้งของตัวเองต่อไป
ตอนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาหลงใหลไปกับการวาดภาพในจินตนาการ คุณหลิวจิงเหว่ยวาดภาพการ์ตูนโดยมีสาระเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการต่อต้านเนื้อวัวสหรัฐฯ ในไต้หวัน เป็นผลงานก่อนจบการศึกษาของเขา ทั้งวาด ทั้งตัดต่อ บรรยาย เสียงประกอบ ตลอดจนเป็นโปรดิวเซอร์ด้วยตนเองทุกอย่าง ทำให้เขาเข้าใจสถานะและบทบาทของตัวเองในฐานะนักสร้างสรรค์ผลงานได้เป็นอย่างดี
"ผมพบว่าตอนที่ผมสร้างสรรค์ผลงานนั้น สิ่งที่ผมแคร์มากที่สุดก็คือ สิ่งที่คนอื่นไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย" คุณหลิวจิงเหว่ยเล่าว่า เพื่อให้ผลงานออกมามีความเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ก่อนจบการศึกษาประมาณ 7-8 เดือน ต้องกินนอนอยู่แต่ในมหาวิทยาลัยตลอด เขาศึกษาตัวอย่างการดีไซน์จากวัสดุที่แตกต่างกัน รวบรวมประเด็นที่อยากจะถ่ายทอดออกมา และพบว่าตัวเองมีความสนใจและอยากรู้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสังคม เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายนี้ เขาได้พยายามแสวงหาความรู้ทางเทคนิค และจังหวะเดียวกันกับที่เขาผลิตผลงานเพื่อขอจบการศึกษา คุณหลิวจิงเหว่ยเพียบพร้อมไปด้วยศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
หลังจบภารกิจการรับใช้ชาติในฐานะทหารเกณฑ์แล้ว คุณหลิวจิงเหว่ยก็กลับมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเดิมของเขา เริ่มทดลองรับงานการออกแบบต่างๆ เช่นเดียวกับคำโบราณที่ว่า "ลูกวัวน้อยไม่กลัวเสือ" รับงานทุกชนิดด้วยตนเอง และยังเคยรับงานออกแบบให้แก่โรงงานออกแบบ IC การจัดทำแผ่นพับสินค้า และยังเคยรับงานถ่ายภาพโฆษณาสินค้าแฟชั่น แม้แต่การถ่ายภาพก็ยังลงมือเองด้วย แม้จะถูกเอาเปรียบหรือกดราคา แต่เขาก็ต้องกัดฟันทำจนสำเร็จให้ได้
ยืนหยัดในผลงานที่ต้องทำด้วยฝีมือตนเอง
คุณหลิวจิงเหว่ยเคยบอกไว้ว่า "ผมเป็นคนหัวรั้น เพราะต้องการให้ผลงานสร้างสรรค์ของผมทุกอย่างต้องเป็นฝีมือจากมือของผมล้วนๆ และด้วยเหตุที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการรับงานมาก่อน มีอะไรเข้ามาก็รับหมด" และด้วยความเป็นคนหัวรั้น คุณหลิวจิงเหว่ยอาศัยความสามารถของตนเอง สั่งสมประสบการณ์จากวงการต่างๆ ที่ไม่สู้จะเหมือนกันนัก เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาความสามารถให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นในวงการออกแบบ
เมื่อ 2 ปีก่อน เขาจับมือกับ "คุณปู่ดาวอังคาร" (火星爺爺) สร้างสรรค์ผลงานภาพวาดประกอบหนังสือเรื่อง ìบันทึกกระเป๋าพเนจรî ซึ่งเป็นเรื่องราวของกระเป๋าใบหนึ่งที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง และพยายามแสวงหาคุณค่าในตัวของมันเอง
แต่ด้วยความบังเอิญ เรื่องราวนี้มีความหมายใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณหลิวจิงเหว่ยเคยประสบท่ามกลางการเข้าสู่วงการวาดภาพประกอบหนังสือด้วย ทำให้คุณหลิวจิงเหว่ยมีความรู้สึกที่พิเศษต่อเรื่องราวนี้
การใช้ปากกาวาดเรื่องราวสมมติของโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาของคน หรือรถราต่างๆ ตลอดจนกระเป๋าที่เป็นพระเอกของเรื่อง ไปจนถึงการวาดโต๊ะสักตัว ล้วนแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของผู้วาด เป็นทั้งการบรรยายความเป็นจริงและเป็นจินตนาการด้วย ภาพวาดนับร้อยภาพเป็นฝีมือที่วาดอย่างบรรจงด้วยสองมือของเขา ก่อนจะถูกนำไปลงสีโดยคอมพิวเตอร์ ภาพที่ปรากฏออกมาจึงเต็มไปด้วยสีสันของวิวทิวทัศน์เฉกเช่นกำลังชมภาพยนตร์เลยทีเดียว
วิธีการที่แตกต่างจากวิธีการทั่วไปในการเสริมอัตลักษณ์ให้แก่ตัวเอกของเรื่อง เขาได้แปร "กระเป๋า" ให้ดูเล็กที่สุด แล้ววาดนกน้อยกับปลาหมึกในจินตนาการได้อย่างออกรสออกชาติทีเดียว เมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ก็ยังพบอีกว่า ในภาพได้ใช้ตัวอักษรภาษาจีนเป็นจำนวนมากประกอบกันขึ้นมา เช่น ผลงานท้องถิ่นไต้หวัน ìต๋าโก่ว (打狗: ตีสุนัข)î และ ìเน่ยวานî (內灣) ล้วนมาจากความทรงจำชีวิตในวัยเด็กของคุณหลิวจิงเหว่ยทั้งสิ้น เขาอาศัยภาพไต้หวันในยุคต้นๆ มาเป็นข้อมูลประกอบงานสร้างสรรค์ของเขา
ชาวไต้หวันคนแรกในรอบ 15 ปี
การที่คุณหลิวจิงเหว่ยยื่นใบสมัครเข้าร่วมการแข่งขันภาพวาดประกอบหนังสือที่ญี่ปุ่นในคราวนี้ ที่แท้มีสาเหตุมาจากภูมิหลังที่มีความจำเป็น
เนื่องจากการทำความเข้าใจเรื่องความร่วมมือไม่สู้จะราบรื่นนัก คุณหลิวจิงเหว่ยจึงเกรงว่าผลงานที่ออกมา เจ้าของจะไม่ยอมรับ จนอาจทำให้งานที่รับมาต้องหยุดชะงักไป คุณหลิวจิงเหว่ยจึงคิดในใจว่า ภาพวาดต้องใช้เวลานานนับเดือนกว่าจะวาดออกมาได้ จึงหวังว่าจะมีวิธีการอื่นๆ ที่จะทำให้ภาพวาดของเขามีคนเห็นมากขึ้น เขาจึงสมัครเข้าร่วมการประกวดที่ญี่ปุ่น และคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงครั้งแรกก็ดังระเบิด ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากคณะกรรมการการประกวดระดับนานาชาติเช่นนี้
เจ้าของรางวัลการประกวดภาพวาดประกอบหนังสือญี่ปุ่นหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ล้วนเป็นนักวาดระดับพระกาฬทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ยูมิโกะ โคมัตสึ หรือ Eric Freeberg ฯลฯ คุณหลิวจิงเหว่ยเข้าร่วมการประกวดครั้งแรกในฐานะนักศึกษาก็สร้างความประทับใจให้แก่บรรดากรรมการชาวญี่ปุ่นจนอุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า "รู้สึกได้อย่างมากถึงการมีอยู่จริง"
มีสำนักพิมพ์บางแห่งเห็นผลงานจบการศึกษาที่เต็มไปด้วยจินตนาการของเขา ก็รีบติดต่อขอจับมือร่วมงานด้วย โดยให้เขาออกแบบบรรจุภัณฑ์สินค้า "ปลากระบอกธรรมชาติ"
คุณหลิวจิงเหว่ยยังคงนิสัยเดิมคือ "รับทุกงาน" แล้วเริ่มต้นศึกษาวิจัยประวัติความเป็นมาของปลากระบอก ทำความเข้าใจกับพัฒนาการของอาหารที่มีมาแต่ดั้งเดิมนี้ จนกลายเป็นความอยากลองออกแบบให้แก่ปลากระบอกที่มีชื่อดั้งเดิมว่า ìทองคำดำî เขาออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้แก่ปลากระบอกโดยพิมพ์ตัวอักษรสีทองลงบนพื้นกล่องสีดำ เพื่อให้สมกับชื่อ ìทองดำî ส่วนโครงสร้างของกล่องบรรจุก็จะมีลวดลายของปลาอยู่บนกล่องด้วย ด้านนอกยังห่อหุ้มด้วยตาข่ายคล้ายแหจับปลาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งคุณหลิวจิงเหว่ยขอให้โรงงานผลิตห่วงบาสเก็ตบอลช่วยถักออกมาตามขนาดที่เขาต้องการ นอกจากนี้ คุณหลิวจิงเหว่ยยังศึกษาเกี่ยวกับข้อความบนบรรจุภัณฑ์ ขจัดปัญหารอยโค้งของกระดาษที่ใช้ จึงต้องไปทำความเข้าใจกับโรงพิมพ์ด้วยตนเอง ทำเองทุกอย่างเป็นที่ประทับใจของโรงงานผู้ผลิต
เมื่อผลงาน "จับปลากระบอก" ของเขาคว้ารางวัล Red Dot Design Award จากเยอรมนีแล้ว ก็ยังคว้ารางวัลยอดเยี่ยมการออกแบบระดับนานาชาติอีก 9 รายการได้แก่ เบลเยียม ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ชิคาโก นิวยอร์ก หลุยส์วิลล์ ลอนดอน และอิตาลี
พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์เป็นที่ประจักษ์สายตาชาวโลก
ความเด็ดเดี่ยวที่จะต้องสร้างผลงานสร้างสรรค์ที่ดีออกมาให้ได้ คุณหลิวจิงเหว่ยมักจะวิ่งไปที่โรงงานเองโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนใดๆ อย่างเช่น ผลงานออกแบบบรรจุภัณฑ์ล่าสุดที่เขาออกแบบให้แก่ใบชาชั้นยอดของไต้หวัน "Tea Fans" ที่เขาออกแบบโดยเอานกตีทองไต้หวัน (coppersmith barbet) หรือนก 5 สี และหมีควายไต้หวัน กับกบต้นไม้ไทเป มาเป็นลวดลายบนบรรจุภัณฑ์ของเขา เพื่อให้มีสีสันแห่งความเป็นธรรมชาติของไต้หวัน ซองชารูปสวนชาขั้นบันไดก็ยิ่งทำให้น้ำร้อนสามารถไหลซึมสู่ใบชา นำเอาความหอมของใบชาละลายออกมา นั่นเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้ของเขาคว้ารางวัล Red Dot Design Award ของเยอรมนีมาได้อีกคำรบหนึ่ง
คุณหลิวจิงเหว่ยบอกว่า รางวัล Red Dot Design Award ให้ความสำคัญกับความมีวัฒนธรรมของผลงานเป็นพิเศษ หากไม่มีความเป็นท้องถิ่นก็จะไม่มีความเป็นสากล ซึ่งเป็นแนวความคิดเดียวกับที่คุณหลิวจิงเหว่ยได้รับการถ่ายทอดจากการศึกษาในไต้หวัน เขาให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์แห่งวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง และทุกครั้งที่ออกแบบก็จะประสมประสานองค์ประกอบแห่งไต้หวันเข้าไปด้วย
คุณหลิวจิงเหว่ยมักจะหัวเราะตัวเองอยู่เสมอว่า ในตัวเขามีวิญญาณเก่าแก่อยู่ หากสามารถอาศัยการออกแบบผลงานสักชิ้นเข้าไปสัมผัสวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไต้หวัน ก็จะทำให้เลือดในตัวของเขาเดือดพล่านทีเดียว คุณหลิวจิงเหว่ยบอกว่า ìความจริงผมมีความสุขอยู่กับการใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลาî ดังนั้น ด้วยลีลาแห่งการใช้ลวดลายของเส้นและสีแบบใจถึงสไตล์ตะวันตกของเขา ทำให้ผลงานของเขาเด่นตระหง่านด้วยองค์ประกอบแห่งวัฒนธรรมตะวันออก แม้จะเป็นการออกแบบเชิงพาณิชย์ แต่เมื่อผ่านฝีมืออันบรรจงของเขาแล้ว ก็ทำให้กลายเป็นผลงานที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งวัฒนธรรม
จากเส้นทางพักการเรียนสู่เวทีระดับโลก ภาพวาดประกอบหนังสือกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ได้กลายเป็นรูปแบบในการทำความเข้าใจระหว่างคุณหลิวจิงเหว่ยกับสังคม จนกระทั่งทุกวันนี้ เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความหมายใหม่แห่งการดำรงอยู่ของเขา เขาบอกว่า จะวาดมันต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง แม้รางวัลจะเป็นเกียรติคุณอย่างหนึ่ง แต่เมื่อได้รับรางวัลเกียรติคุณแล้ว ก็ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องก้าวไป เขาหวังว่าพลังความคิดสร้างสรรค์ที่มีต้นกำเนิดจากไต้หวันของเขาจะส่องแสงเจิดจรัสให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ต่อไป