ปฏิบัติการเพื่อสุนทรียศึกษา
มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า พิพิธภัณฑ์ศิลปะอวี้ซิ่วยังมีภารกิจอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเผยแพร่สุนทรียศึกษาในโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นการสืบทอดปณิธานของคุณหลี่จู๋ซินในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ “ไปปลูกต้นไม้กัน นำเอาเมล็ดพันธุ์แห่งสุนทรียศาสตร์ปลูกฝังลงไปในจิตวิญญาณของเด็กทุกคน สักวันหนึ่งในอนาคต มันจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขาสร้างความร่มรื่นให้แก่ผู้คน” นี่คือเจตนารมณ์ของคุณหลี่จู๋ซินที่บันทึกไว้ในงานประพันธ์ชิ้นหนึ่งของเขา และเจตนารมณ์ดังกล่าวผลักดันให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะอวี้ซิ่วเริ่มจัดทำโครงการ “ห้องเรียนศิลปะของฉันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ”
การศึกษาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและต้องใช้เวลายาวนานทีมงานที่แบกรับภารกิจสำคัญในระยะยาวนี้ยังคงเน้นเรื่องความละเอียดอ่อนและประณีตตลอดจนมุ่งให้เข้าถึงเบื้องลึกในจิตใจซึ่งเป็นการสานต่อสไตล์การทำงานของพิพิธภัณฑ์ศิลปะอวี้ซิ่วที่ยึดถือมาโดยตลอดโดยได้ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดตั้งแต่การออกแบบแผนการเรียนการสอนและทำอย่างไรจึงจะให้สอดรับกับช่วงเวลาที่มีการจัดนิทรรศการนอกจากนี้ยังต้องมีการสื่อสารกับทางโรงเรียนก่อนเข้าชมนิทรรศการการฝึกอบรมครูผู้สอนและอาสาสมัครนำชมนิทรรศการรวมถึงการประสานงานหลังเสร็จสิ้นภารกิจและการสานต่อโครงการเป็นต้น
ทีมงานคาดหวังให้เด็กเข้าใจมารยาทในการเข้าชมงานนิทรรศการและยังหวังว่าจะเป็นการชักจูงให้เด็กสนใจเข้ามาสัมผัสและชื่นชมผลงานศิลปะโดยผ่านการนำชมที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันก็จะพบว่า “พิพิธภัณฑ์ศิลปะก็มีอะไรที่น่าสนใจมากมาย” และจากความประทับใจที่เด็กๆ ได้รับ จะกระตุ้นให้เกิดความชื่นชอบในสุนทรียศาสตร์ คุณหลิวซินหยุน (劉昕昀) เจ้าหน้าที่แผนกประชาสัมพันธ์และการศึกษาของพิพิธภัณฑ์ศิลปะอวี้ซิ่ว กล่าวถึงอุดมการณ์ของตนเองว่า “ไม่ใช่ต้องการจะให้อะไรแก่เด็ก แต่ต้องการให้เด็กค้นพบอะไรบางอย่างที่นี่ด้วยตนเอง”
อย่างเช่นเมื่อครั้งที่มีการจัดนิทรรศการ “ความเวิ้งว้างที่เงียบสงบ” (Tranquil Vastness) ศิลปินเจ้าของผลงานคือคุณหยางเป่ยเฉิน (楊北辰) ซึ่งเป็นช่างแกะสลักไม้ ได้จัดแสดงผลงานการแกะสลักไม้ที่ดูไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม อาทิ กระเป๋าทรงบอสตัน หนังสือโบราณ และเสื้อหนัง ซึ่งล้วนเป็นการชุบชีวิตให้กับของเก่าในรูปลักษณ์ใหม่ที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความอบอุ่น แต่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ของร่องรอยแห่งกาลเวลา อีกทั้งยังมีนัยยะบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับวัตถุ ซึ่งยากที่จะใช้ภาษามาสื่อถึงกันได้
หลังเสร็จสิ้นการชมนิทรรศการ คุณครูได้นำนักเรียนไปเฝ้าสังเกตและให้จินตนาการว่า “เจ้าของกระเป๋าคือใคร” ซึ่งเป็นการตั้งคำถามเพื่อท้าทายจินตนาการของนักเรียนรวมถึงช่วยให้นักเรียนปลดปล่อยความคิดให้หลุดจากกรอบของวิถีชีวิตประจำวันและจินตนาการได้อย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
เริ่มจาก “การเฝ้าสังเกต” ซึ่งจะนำไปสู่ “การจินตนาการ” ในที่สุดก็จะเป็น “การสร้างสรรค์ผลงาน” และนี่ก็คือขั้นตอนของการรังสรรค์ผลงานศิลปะทั้งหลายนั่นเอง
“ห้องเรียนศิลปะของฉันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ” เป็นการดำเนินการตามอุดมการณ์แรกเริ่มของพิพิธภัณฑ์ศิลปะอวี้ซิ่วที่ต้องการบอกกับทุกคนว่า การชมงานศิลปะไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรนักหนา ความงาม มีต้นกำเนิดมาจากการใส่ใจต่อชีวิตและรู้จักชื่นชม ซึ่งในที่สุดแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาก็คือ ชีวิตที่มีคุณค่ามากขึ้นนั่นเอง
เพราะต้องการคืนพื้นที่ให้กับธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ศิลปะจึงสร้างขึ้นท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้เขียวขจี