การผลิตสุราต้องอาศัยการผนวกศาสตร์แห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน ดังนั้น การเลือกใช้วัตถุดิบที่ต่างชนิดกัน รวมถึงจุลินทรีย์ คุณภาพของดินและน้ำ ตลอดจนสภาพอากาศ จึงมีผลต่อวิธีการผลิตและเทคนิคการผลิต ซึ่งทำให้สุราแต่ละชนิดที่หมักหรือกลั่นออกมานั้นมีกลิ่นรสที่ไม่เหมือนกัน หลังจากที่รัฐบาลไต้หวันอนุญาตให้ภาคเอกชนผลิตสุราได้ เพื่อรองรับการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.2002 ส่งผลให้ไต้หวันเข้าสู่ยุคแห่งความรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมการผลิตสุรา กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสุรารุ่นเก่าๆ จำนวนมากให้ความสนใจกับกระแสโลกาภิวัตน์เป็นพิเศษ และหันมาส่งเสริมการพัฒนาการผลิตไวน์เป็นอันดับแรก ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการแปรรูปสินค้าเกษตรที่สามารถสร้างเอกลักษณ์ให้กับท้องถิ่น หรือความพยายามในการทดลองผลิตไวน์ชนิดใหม่ๆ ด้วยการใช้องุ่นพันธุ์ใหม่ ตลอดจนสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม นับเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกาะแห่งนี้สามารถอาศัยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของตัวเองในการค้นหาเส้นทางแห่งความสำเร็จที่เป็นไปได้ไม่ยากนัก
การได้รับรางวัลเหรียญทองจากการส่งไวน์องุ่นขาวพันธุ์โกลเด้นมัสแคต (Golden Muscat) ประเภทฟอร์ติไฟด์ไวน์ (Fortified Wines) ในชื่อของ Moscato Oro Vino Fortificato NV เข้าแข่งขันในเวที Vinalies Internationales Competition ที่กรุงปารีส เมื่อเดือนมีนาคม 2014 ที่ผ่านมาของโรงงานผลิตไวน์ Shu-Sheng Leisure Domaine (樹生酒莊) หนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่สำคัญของไต้หวัน ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการสุราทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก การผลิตไวน์ดังกล่าวมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและสามารถย้อนหลังไปถึงปี 1957 ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นการผลิตไวน์แบบชาวบ้าน แต่กลับสามารถพลิกผันชะตาชีวิตของตัวเองได้สำเร็จ โดยในปัจจุบันหากใครต้องการซื้อไวน์ขาวมอสคาโต้ (moscato) สักขวด อาจจะต้องรอเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ผมปลูกองุ่นมานานกว่า 50 ปีแล้วล่ะ คุณหงจี๋เป้ย (洪吉倍) ผู้พลิกผันตัวเองจากเกษตรกรไร่องุ่นธรรมดาคนหนึ่งมาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตไวน์ กล่าวพร้อมกับเดินนำพวกเราไปยังไร่องุ่นที่อยู่ด้านหลังของโรงงานผลิตไวน์ ภาพของเนินเขาที่เต็มไปด้วยต้นองุ่นขึ้นเรียงรายเป็นแนวยาว สลับกับเถาองุ่นจำนวนมากเลื้อยไปตามแนวค้างที่ตั้งอยู่ บ่งบอกถึงบทบาทที่สำคัญในการร่วมกันบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของการผลิตไวน์องุ่นในไต้หวันมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ
ตามหาศิลปะการหมักไวน์ที่สูญหายไปกลับคืนมา
Shu-Sheng Leisure Domaine เริ่มทำไวน์จากองุ่นไนแองการ่า มาจนถึงพันธุ์โกลเด้นมัสแคต (金香葡萄 : Golden Muscat) และพันธุ์แบล็คควีน (黑后葡萄 : Black Queen) บนพื้นที่เพาะปลูกเพียง 111 ตารางวา ต่อมาได้จับมือกับกรมสรรพสามิตไต้หวัน มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปมากถึง 44 ไร่ ก่อนที่จะลดพื้นที่ลงเหลือเพียง 12.5 ไร่ กรมสรรพสามิตไต้หวันได้ยกเลิกสัญญากับ Shu-Sheng Leisure Domaine ในปี 1996 พร้อมทั้งดำเนินนโยบายลดพื้นที่เพาะปลูกองุ่น โดยการให้เงินอุดหนุนการตัดต้นองุ่น เนื่องจากพื้นที่เกษตรกรรมดังกล่าวตั้งอยู่บนเนินเขา และเป็นพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งน้ำ ดังนั้น นอกจากองุ่นซึ่งเป็นพืชที่สามารถทนแล้งได้ดีแล้ว ทำให้ไม่สามารถปลูกพืชชนิดอื่นได้ ด้วยเหตุนี้ คุณหงจี๋เป้ยจึงเก็บต้นองุ่นดังกล่าวไว้ และที่นี่จึงกลายเป็นฐานกำลังสำคัญของโรงงานผลิตไวน์ของเขาในเวลาต่อมา
รัฐบาลไต้หวันผลักดันแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมเกษตรในปี 1999 และเข้ามาให้ความช่วยเหลือรวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำแก่โรงงานผลิตสุราขนาดใหญ่ 10 แห่งของไต้หวัน จึงทำให้คุณหงจี๋เป้ยได้รู้จักกับคุณเฉินเชียนห้าว (陳千浩) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตสุรา ที่เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาการผลิตไวน์จาก UniversitÈ de Bourgogne ประเทศฝรั่งเศสมาหมาดๆ และตอบรับภารกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้ด้วยความยินดี เขากล่าวว่า อาชีพการผลิตสุราเป็นอาชีพที่กำลังจะสูญหายไปจากไต้หวัน ตั้งแต่ปี 1927 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นเข้าปกครองไต้หวันและได้สร้างระบบควบคุมการจำหน่ายเหล้าและบุหรี่ขึ้น ทำให้การผลิตสุราของประชาชนไต้หวันขาดตอนไปเป็นเวลานานกว่า 70 ปี สภาพภูมิอากาศของไต้หวันและพันธุ์พืชที่แตกต่างจากภาคพื้นทวีปยุโรปอย่างสิ้นเชิง ทำให้คุณเฉินเชียนห้าวตระหนักดีว่า ต้องปลูกพืชที่มีความเหมาะสมกับท้องถิ่นเท่านั้น เขาจึงเปิดแผนที่โลกและพบว่าเกาะมาเดรา (馬德拉島 : Madeira) เป็นแหล่งผลิตไวน์องุ่นที่ตั้งอยู่ในละติจูดที่ใกล้เคียงกับเกาะไต้หวันมากที่สุด
อาศัยสภาพแวดล้อมแบบร้อนชื้น พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
ไต้หวันมีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้นและอบอ้าว นับเป็นปัญหาที่สร้างความยุ่งยากให้กับผู้ผลิตสุราแทบทุกคน โดยเฉพาะการทำไวน์องุ่นที่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพขององุ่นอย่างมาก เนื่องจากไต้หวันไม่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืชในเขตอบอุ่นอย่างองุ่นเท่าไรนัก ดังนั้น การทำไวน์คุณภาพดีในไต้หวันจึงเท่ากับเป็นการทำเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก กอปรกับต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นที่เกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงฤดูร้อน ส่งผลให้ผลองุ่นที่เพิ่งจะเปลี่ยนสีสุกไม่ทันทั่วทั้งผล ขณะที่เกษตรกรเองต้องเร่งเก็บเกี่ยว จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทั้งความหวานและความหอมขององุ่นนั้นยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้ องุ่นที่ปลูกในไต้หวันทั้งพันธุ์โกลเด้นมัสแคตและพันธุ์แบล็คควีนซึ่งเป็นพันธุ์ที่นิยมนำไปทำไวน์องุ่นนั้น เป็นพันธุ์ลูกผสมที่ชาวญี่ปุ่นทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็ตาม องุ่นเป็นพืชที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศต่างๆ ได้ดี และหลังผ่านการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในไต้หวันมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ทำให้ได้พันธุ์องุ่นที่ทนร้อนและทนต่อโรค อีกทั้งยังมีรสชาติที่แปลกออกไปอีกด้วย
คุณเฉินเชียนห้าวสร้างทางเลือกใหม่ให้กับการทำไวน์องุ่น เขาเลียนแบบวิธีการผลิตเหล้าไวน์ประเภทฟอร์ติไฟด์จากเกาะมาเดราที่อยู่ห่างไกลออกไปในประเทศโปรตุเกส (ฟอร์ติไฟด์ไวน์ หรือ 加烈葡萄酒 เป็นไวน์ที่มีการเพิ่มดีกรีของแอลกอฮอล์ที่ผ่านการกลั่นเข้าไปในขั้นตอนการผลิต เพื่อให้มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าปกติ) โดยนำไวน์องุ่นที่ผ่านการหมักและทำให้เข้มข้นแล้ว มาผ่านกระบวนการต้ม ก่อนจะนำไปบรรจุและเก็บไว้ในห้องเก็บไวน์ วิธีการดังกล่าวช่วยให้สามารถเก็บรักษาไวน์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าไวน์ธรรมดา ภายใต้สภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูร้อน โดยที่ไวน์ไม่เสียและรสชาติไม่เปลี่ยน ที่สำคัญคือกลิ่นขององุ่นพันธุ์โกลเด้นมัสแคตที่คนไม่ค่อยชอบ ได้ถูกกำจัดออกไปหลังผ่านการเก็บไว้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงนาน 3 เดือน และเมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ค่าความเป็นกรดขององุ่นที่ค่อนข้างสูง ทำให้ได้ไวน์ที่มีรสอ่อนละมุน ผสมผสานมาจากการหมักด้วยผลไม้เขตร้อน ผลไม้รสเปรี้ยวและผลไม้พวกเบอร์รี และยังเป็นไวน์ที่มีดีกรีแอลกอฮอล์สูงกว่าไวน์ทั่วไป อันเป็นคุณลักษณะพิเศษของไวน์ชนิดนี้ ทำให้สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นร้อยปี
นิยามใหม่ของการบอกอายุ วิสกี้
ผู้ผลิตสุราของไต้หวันใช้ความพยายามอย่างมากในการพัฒนาการผลิต และค้นพบว่าอากาศร้อนไม่เพียงจะช่วยให้
สามารถผลิตฟอร์ติไฟด์ไวน์ได้ดีเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนแสงนำทางให้กับอุตสาหกรรมวิสกี้ของไต้หวันเช่นกัน
วิสกี้มีต้นกำเนิดจากที่ราบสูงในสกอตแลนด์ ปัจจุบันแหล่งผลิตวิสกี้ที่สำคัญของโลก 5 อันดับแรก ต่างมีที่ตั้งอยู่ในเขตหนาวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสกอตแลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่น เป็นต้น วิสกี้ Kavalan ของบริษัท King Car (金車噶瑪蘭威士忌) นับเป็นวิสกี้ชั้นนำของไต้หวัน ในเวลาต่อมา โรงงานสุราหนานโถวสามารถผลิตวิสกี้ได้ดีไม่แพ้กัน และขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตวิสกี้ชั้นนำของไต้หวันด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น คุณหลี่เทียนไฉ (李添財) ประธานบริษัทเครือ King Car Group ผู้ผลิตเครื่องดื่มและกาแฟกระป๋องของไต้หวัน มีความฝันที่จะผลิตวิสกี้ที่เป็นของไต้หวันแท้ๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสกี้ทั้งจากสกอตแลนด์ และญี่ปุ่นต่างมองว่าเป็นไปได้ยาก แต่ด้วยความช่วยเหลือของ Dr. Jim Swan ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสกี้ชาวสกอตแลนด์ ที่ให้คำแนะนำปรึกษา จึงนำการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการตรวจวัดคุณสมบัติของวิสกี้และมีการบันทึกข้อมูลตลอดทั้งกระบวนการผลิต เช่น ระยะเวลาในการหมัก และระดับของอุณหภูมิที่สูงขึ้น รวมทั้งลักษณะภูมิอากาศ คุณภาพน้ำ และอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของเมืองอี๋หลาน ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานสุราดังกล่าว ก่อนจะนำไปทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับโรงงานสุราในสกอตแลนด์ แล้วนำมาปรับปรุงวิธีการในแต่ละขั้นตอน ภายใต้สภาพอากาศในเขตกึ่งร้อนเช่นนี้ มักจะส่งผลให้วิสกี้ที่เพิ่งผ่านการกลั่นออกมานั้นเกิดการทำปฏิกิริยากับถังไม้โอ๊กที่ใช้บ่ม ปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นส่วนที่มีความท้าทายมากที่สุดตลอดกระบวนการผลิต
ผลที่ออกมาปรากฏว่าเกินความคาดหมายของใครหลายๆ คน สภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของไต้หวัน กลับช่วยย่นระยะเวลาในการบ่มโดยใช้เวลาเพียง 5 ปี นับเป็นลักษณะเด่นของวิสกี้ไต้หวัน วิสกี้ Kavalan ยังลบล้างความเข้าใจผิดของผู้บริโภคที่เชื่อว่าคุณภาพของวิสกี้ขึ้นกับระยะเวลาในการบ่มอีกด้วย คุณจางอวี้หลัน (張郁嵐) กล่าวว่า บ่อยครั้งในการประกวดระดับนานาชาติ วิสกี้ไต้หวันที่ได้รับการบ่มมาประมาณ 5-6 ปี มักถูกกรรมการเข้าใจผิดโดยเชื่อว่าเป็นวิสกี้ที่ได้จากการบ่มในโรงงานสุราของสกอตแลนด์มานาน 20-30 ปี และหลังจากที่กวาดรางวัลจากการส่งวิสกี้เข้าประกวดในการแข่งขันต่างๆ ทำให้วิสกี้ Kavalan เริ่มถูกจับตามองจากวงการสุราทั่วโลก
ตำแหน่งที่ตั้งของโรงงานสุราในอำเภอหยวนซัน เมืองอี๋หลาน ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่เกิดขึ้น เพราะนอกจากอากาศที่ร้อนอบอ้าวในช่วงฤดูร้อนแล้ว ช่วงหน้าหนาวที่นี่จะมีอากาศแบบหนาวชื้นเช่นกัน อุณหภูมิสูงจะช่วยกระตุ้นให้ถังไม้โอ๊กปลดปล่อยสีและกลิ่นออกมา ความชื้นมีส่วนช่วยในการออกซิเดชัน ควบคู่ไปกับการทำปฏิกิริยาภายในระหว่างการบ่มภายใต้สภาพภูมิอากาศร้อนๆ หนาวๆ สลับไปมา ที่นี่ยังมีแหล่งน้ำคุณภาพดี ซึ่งเป็นน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาเสวี่ยซัน จึงสามารถผลิตสุราที่ให้รสนุ่มละมุน
ศักยภาพของวิสกี้ไต้หวันและตลาดที่ขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้โรงงานสุราหนานโถวเกิดการปรับตัว โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในภาคกลางของไต้หวันซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกผลไม้ที่สำคัญ เดิมผลิตไวน์ผลไม้เป็นหลัก ภายหลังนำเอาเทคนิคการผ่านถังสองครั้งมาใช้ และเติมผลไม้ท้องถิ่นที่เป็นตัวแทนของไต้หวันเพิ่มลงไปในวิสกี้แบบโบราณ เช่น ลิ้นจี่ บ๊วย และองุ่น ทำให้ได้วิสกี้ที่มีลักษณะแตกต่างออกไป กลายเป็นวิสกี้น้องใหม่ที่ชาวยุโรปชื่นชอบมาก
ยึดหลัก ความยั่งยืน เพื่อตอบแทนสังคม
การผลิตไวน์องุ่นในไต้หวันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หลังจากนั้นในปี 2009 สถานีส่งเสริมและวิจัยการเกษตร นครไทจง ก็สามารถเพาะพันธุ์องุ่นสำหรับผลิตไวน์ในชื่อของ ไทจง หมายเลข 3 ได้สำเร็จ ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า 木杉 (อ่านว่า มู่ซัน หรือ musann blanc ) องุ่นพันธุ์ดังกล่าวจุดประกายความฝันให้กับคุณหยางเหวินปิน (楊文彬) นักธุรกิจด้านอุตสาหกรรมเกษตรที่ต้องการผลิตไวน์องุ่น บนพื้นฐานความคิดที่ต้องการคืนกำไรให้สังคม ด้วยความผูกพันที่มีต่อพืชและดิน เกษตรกรจึงรวมตัวกันก่อตั้ง Weightstone Vineyard Estate & Winery (威石東酒莊) ขึ้น
คุณหยางเหรินหย่า (楊仁亞) เติบโตในต่างประเทศ ภายหลังถูกคุณพ่อเรียกตัวกลับมาไต้หวัน และเข้ารับผิดชอบภารกิจที่ยากยิ่งนี้ เธอและทีมงานที่มาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เลือกที่จะเริ่มต้นจากฟาร์มตัวอย่างในตำบลผูหลี่ เมืองหนานโถว ศึกษาตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการบ่ม ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ พร้อมทั้งเรียนรู้ที่จะรับข้อมูลจากธรรมชาติ จุดที่ Weightstone แตกต่างจากโรงงานสุราอื่นมากที่สุดก็คือ การให้ความสำคัญกับระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การอนุรักษ์ดินและน้ำบนพื้นที่เนินเขาของฟาร์ม จนถึงการบริหารจัดการดินและกิ่งใบของต้น เทคนิคการตัดแต่งและเก็บเกี่ยว การนำความรู้แนวคิดหรือเทคนิคที่ได้เรียนรู้มา กลับไปสอนให้กับเกษตรกรที่มีความร่วมมือและทำพันธสัญญาระหว่างกัน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะตอบแทนเกษตรกร คุณหยางเหรินหย่า กล่าวว่า ต้นองุ่นพันธุ์มู่ซันที่ปลูกอยู่ในสถานีส่งเสริมและวิจัยการเกษตร แม้จะมีอายุเพียงแค่ 7 ปี แต่กลับมีลำต้นที่แข็งแรงสมบูรณ์และโตกว่าต้นองุ่นที่ปลูกมานานกว่า 20 ปี ในสวนของเกษตรกรพันธสัญญาเสียอีก สะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมา ดินและพันธุ์ไม้ผลนั้นต่างไม่เหมาะสมแล้ว
การทำเกษตรแบบประณีตที่มีการดูแลต้นตลอดระยะการปลูก ทำให้ต้นองุ่นมู่ซันเริ่มให้ผลผลิตได้ในปี 2013 และมีระดับความหวานอยู่ที่ 15.5 องศาบริกซ์ แต่ในปีนี้ระดับความหวานเพิ่มขึ้นเป็น 20 องศาบริกซ์ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังเป็นการทำลายสถิติระดับความหวานทั่วไปของไวน์องุ่นซึ่งอยู่ที่ประมาณ 14-15 องศาบริกซ์ อีกด้วย องุ่นพันธุ์ใหม่นี้เปรียบเสมือนพระเอกของการผลิตสตีลไวน์ (still wine) ซึ่งเป็นไวน์ที่ไม่ผสมน้ำตาลหรือมีความหวานต่ำ เมื่อเปิดขวดจะได้กลิ่นหอมจากลิ้นจี่และพลัม ตามมาด้วยกลิ่นอ่อนๆ ของโรสแมรีและเปลือกมะนาว มู่ซันเป็นองุ่นที่ถือได้ว่ามีกลิ่นอายของสุราไต้หวันมากๆ และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในนานาชาติ คุณหยางเหรินหย่าพูดอย่างยินดีปรีดา
ผลงานอีกชิ้นที่น่าสนใจของ Weightstone คือ การนำองุ่นพันธุ์โกลเด้นมัสแคตและแบล็คควีนที่มีความเป็นกรดค่อนข้างสูงมาผลิตเป็นสปาร์กลิงไวน์ (氣泡酒: Sparkling wine) หรือไวน์ฟอง การสปาร์กลิงไวน์แบบดั้งเดิมเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะในสภาวะที่มีคู่แข่งยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศสอย่างแชมเปญด้วยแล้ว แต่ในท้ายที่สุด ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็ได้รับการยอมรับจากซอมเมอลิเยร์ (Sommelier) ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์จำนวนมาก และช่วยให้ Weightstone ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในไวน์ไต้หวันของบรรดาภัตตาคารระดับหรูมากมาย
คุณหยางเหรินหย่า กล่าวว่า นอกจากดินและฟ้าแล้ว มนุษย์ก็มีความสำคัญเช่นกัน ภายใต้ชื่อของ Weightstone ทำให้เราค้นพบโอกาสและความเป็นไปได้ในอุตสาหกรรมการผลิตไวน์องุ่นของไต้หวัน และยังเป็นตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนถึงการร่วมมือกันระหว่างมนุษย์กั