จงจ้าวเจิ้ง บุคคลที่ไม่ได้คำนึงถึงแต่ตัวเอง
ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ “อุทยานวรรณกรรมจงจ้าวเจิ้ง” เรามาทำความรู้จักกับอาจารย์จงสักเล็กน้อย
จงจ้าวเจิ้งได้รับฉายาว่า “มารดาแห่งวรรณกรรมไต้หวัน” เป็นคำที่ตงฟางไป๋ (東方白) นักเขียนชาวไต้หวันกล่าวถึงเขา ในหนังสือชีวประวัติเรื่อง “จงจ้าวเจิ้ง ผู้อุทิศชีวิตบันทึกเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์” ที่ประพันธ์โดยจงเหยียนเวย (鍾延威) บุตรชายคนที่สองของจงจ้าวเจิ้ง ได้พรรณนาถึงบิดาของตนว่า “อาจารย์จงไม่ได้ต่อต้านอะไรมากนัก แต่ก็พึมพำเป็นบางครั้งว่า “ฉันเป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่เหตุไฉนถึงกลายเป็นมารดาแห่งอะไรไปได้”
ฉายานี้ได้มาจากความมุมานะอุตสาหะตลอดชีวิตของจงจ้าวเจิ้ง ที่สร้างสรรค์งานเขียนด้วยตัวอักษรจีนรวมมากกว่า 20 ล้านตัวด้วยมือของตน ทิ้งผลงานนวนิยายชุดทรงคุณค่าไว้เบื้องหลัง อาทิ “ไตรภาคเรื่องสายน้ำขุ่น” (濁流三部曲) และ “ไตรภาคเรื่องคนไต้หวัน” (台灣人三部曲) เขายังทุ่มเทแรงกายแรงใจชี้แนะและผลักดันนักเขียนรุ่นใหม่ ส่งเสริมนักเขียนอาวุโส ตลอดจนอุทิศตนให้กับการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมฮากกา จูโย่วซวิน (朱宥勳) นักเขียนรุ่นใหม่ชาวไต้หวัน ได้ตั้งชื่อบทความที่เขียนถึงจงจ้าวเจิ้งไว้อย่างน่าสนใจ ในหนังสือรวมบทวิจารณ์วรรณกรรมของเขาเรื่อง “ยามที่พวกเขาไม่ได้เขียนนิยาย” ว่า “เพราะจงจ้าวเจิ้งไม่ได้นึกถึงแต่ตัวเอง”
ตลอดชีวิตของอาจารย์จง เขาสามารถพูดสี่ภาษาสลับกันไปมาระหว่างภาษาฮากกา ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฮกเกี้ยนและภาษาจีนแมนดารินได้อย่างลื่นไหล โดยภาษาจีนเป็นภาษาที่เพิ่งมาคุ้นเคยในช่วงหลัง อาจารย์จงเกิดในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ในปี ค.ศ. 1945 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง เขามีอายุ 21 ปี และเพิ่งจะเริ่มอ่านหนังสือภาษาจีน หลังจากที่ร่ำเรียนอย่างหนักเป็นเวลากว่าหกปี เขาก็ได้ก้าวข้ามกำแพงภาษา จนสามารถใช้ภาษาจีนเขียนบทความได้อย่างคล่องแคล่ว และในเวลานั้น เขาเริ่มส่งต้นฉบับงานเขียนไปยังสำนักพิมพ์หลายแห่ง แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังถูกปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง ในปี ค.ศ. 1957 จงจ้าวเจิ้งได้ส่งจดหมายฉบับแรกจากบ้านของเขาที่หลงถาน เชิญชวนนักเขียนชาวไต้หวันรวมตัวกันก่อตั้งกลุ่ม “จดหมายข่าวเพื่อนนักประพันธ์” ที่ให้นักเขียนทั่วไต้หวันมาร่วมวงสนทนา ถกประเด็นและพัฒนาทักษะการเขียนวรรณกรรมของกันและกัน
ในปี ค.ศ. 1960 คุณหลินไฮ่อิน (林海音) ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ United Daily News ชื่นชอบและเห็นแววนวนิยายเรื่อง “ลู่ปิงฮัว” ของอาจารย์จง จึงเริ่มตีพิมพ์นิยายเรื่องนี้ใน United Daily News นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาจารย์จงจึงยิ่งมีความกระตือรือร้นในการกระตุ้นให้เพื่อน ๆ นักเขียน ร่วมแรงร่วมใจคว้าโอกาสเพื่อครอบครองพื้นที่ทางวรรณกรรมนี้ นอกจากนี้ เขายังมีส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้นวนิยายอีกหลายเรื่องของนักเขียนคนอื่นเสร็จสมบูรณ์ เช่น นวนิยายเรื่อง “คลื่นซัดทราย” ของตงฟางไป๋ (東方白) และ “นวนิยายไตรภาคชุดคืนฤดูหนาว” ของหลี่เฉียว (李喬)
ไม่เพียงให้กำลังใจนักเขียนหน้าใหม่เท่านั้น อาจารย์จงยังทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการในการจัดทำหนังสือรวมผลงานนักเขียนชาวไต้หวัน ส่งเสริมผลงานของนักเขียนรุ่นเก่าให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง จูโย่วซวินเคยอธิบายในหนังสือของตนว่า “นี่คือกลยุทธ์ในการคืบคลานไปข้างหน้าเพื่อครองพื้นที่เวที แต่อีกด้านหนึ่งก็แบ่งปันเวทีให้กับนักเขียนไต้หวันคนอื่น ๆ ในทันที” นั่นเป็นเพราะอาจารย์จงไม่ได้นึกถึงแต่ตัวเอง ซึ่งจูโย่วซวินได้เขียนบทสรุปในตอนท้ายไว้ว่า “เขาแทบจะพลิกประวัติศาสตร์วรรณกรรมไต้หวันด้วยตัวคนเดียว”
ภายในบ้านพักเดิมของอาจารย์จงมีการจัดวางโต๊ะไม้ฮิโนกิจำลองที่อาจารย์จงใช้ผลิตงานเขียนตลอดทั้งชีวิตของท่าน ชวนให้จินตนาการถึงภาพการทำงานของท่านในอดีต
อาจารย์จงมีงานเขียนมากมาย และยังเป็นผู้บุกเบิกนวนิยายชุดในไต้หวัน หนังสือบนชั้นวางคือ “หนังสือรวมงานเขียนจงจ้าวเจิ้ง” ที่จัดพิมพ์โดยเทศบาลนครเถาหยวน