การประสมประสานกันระหว่างคนกับทะเลก่อให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การเก็บรักษาประวัติศาสตร์และมานุษยวิทยา ตลอดจนการดำรงชีวิตของผู้คนบนผืนแผ่นดินที่ไถเจียงแห่งนี้ ได้บรรจงสาธยายและเชื่อมต่อกันได้อย่างไม่มีที่ติ ทำให้เราต้องคำนึงถึงและขบคิดพิจารณาอย่างจริงจังถึงคุณค่าของผืนดินผืนนี้ และจะสืบสานภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ตลอดจนอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างไร เพื่อนำไปสู่เป้าหมายแห่งการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นกับระบบนิเวศวิทยา เพื่อผลักดันให้ไต้หวันมีวิสัยทัศน์และคุณูปการต่อเวทีแห่งการรณรงค์อนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลกที่สูงเด่นยิ่งขึ้น
ในช่วงปีค.ศ.1990 ทั่วโลกมีนกปากช้อนหน้าดำเพียงไม่ถึง 300 ตัว บินมาหลบหนาวที่ไต้หวันเพียงปีละ 150 ตัว อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์เต็มทน แต่พอมาถึงปีค.ศ.2017 จำนวนนกปากช้อนหน้าดำทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3,914 ตัว มาหลบหนาวที่ไต้หวัน 2,601 ตัว คิดเป็นร้อยละ 66 มากที่สุดในโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่นักอนุรักษ์พันธุ์สัตว์หายากของไต้หวันมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความพยายามร่วมกันของภาครัฐและเอกชน กระทั่งเป็นแบบอย่างแห่งความร่วมมือกันในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์หายากระหว่างประเทศทีเดียว แล้วรูปแบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบใดที่จะเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับนกปากช้อนหน้าดำเล่า? และวิธีการใดเล่าที่จะสามารถทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการเก็บรักษาแหล่งวัฒนธรรมในท้องถิ่นได้พร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้น เราจะไปศึกษาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของนกปากช้อนหน้าดำในไต้หวันกันเลย
การอนุรักษ์ที่ต้องทำจากล่างสู่บน
คุณหวงกวงอิ๋ง (黃光瀛) ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาลิ่วข่ง (六孔管理站) อุทยานแห่งชาติไถเจียง เล่าให้ฟังว่า นกปากช้อนหน้าดำได้รับการระบุให้เป็นพันธุ์นกหายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้วในปีค.ศ.1988-1989 ซึ่งหลังจากที่กลุ่ม NGO กรมป่าไม้ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งรัฐบาลท้องถิ่นจับมือกัน ทำให้ผู้คนเริ่มสำนึกในความสำคัญของการอนุรักษ์ให้นกชนิดนี้ยังคงมีอยู่ในโลกนี้ต่อไป และเป็นกระบวนการแห่งการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์หายากที่ยืดเยื้อยาวนาน ซึ่งในตอนนั้น ไต้หวันต้องเผชิญกับภาวะแห่งการรุกล้ำชายฝั่งที่ไถหนานเพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทั้งของบริษัททุนเท็กซ์ และบริษัท Yieh United Steel Corp. (YUSCO) ตลอดจนเหตุการณ์ดักยิงนกปากช้อนหน้าดำ ในขณะที่สหรัฐฯ เห็นว่าไต้หวันไม่อาจดำเนินมาตรการสกัดกั้นการลักลอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์อนุรักษ์ได้ จึงได้ดำเนินมาตรการบอยคอตทางเศรษฐกิจต่อไต้หวัน ตามที่ระบุไว้ใน Pelly Amendment ของสหรัฐฯ เหตุการณ์เหล่านี้ได้ทำให้รัฐบาลต้องหันมาทบทวนนโยบายในขณะนั้นที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไปสู่การปรับนโยบายที่ต้องให้ความสำคัญต่อสภาพแวดล้อมไปพร้อมๆ กันด้วย
ภายใต้ภูมิหลังทั้งการเมืองภายในและการเมืองระหว่างประเทศดังกล่าวข้างต้น ไต้หวันได้จัดตั้งสมาคมนกป่าแห่งเมืองไถหนานขึ้นในปีค.ศ.1992 เป้าหมายแรกคือการอนุรักษ์นกปากช้อนหน้าดำที่กำลังจะสูญพันธุ์ คุณกัวตงฮุย (郭東輝) เลขาธิการสมาคมนกป่าแห่งนครไถหนานเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟังว่า หลังจากที่มีการประชาสัมพันธ์แล้ว ทำให้คนในท้องถิ่นเริ่มเข้าใจและพบว่า นกเหล่านี้มีบ้านเกิดอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ดั้งเดิม นอกจากจะนำมาซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมากแล้ว กุ้งหอยปูปลาที่นกปากช้อนหน้าดำกินเป็นอาหาร เป็นผลผลิตเสริมหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากบ่อเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล ทำให้การมาพักอาศัยที่นี่ของนกปากช้อนหน้าดำก็ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลเหล่านี้แต่อย่างใด และด้วยความมุมานะพยายามขององค์กร NGO นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนบุคคลผู้มีชื่อเสียงในท้องถิ่นเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่องหลายปี ประกอบกับได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเทศบาลนครไถหนาน ทำให้วนอุทยานแห่งชาติไถเจียงก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.2009 นกปากช้อนหน้าดำจึงมีแหล่งหลบหนาวที่ปลอดภัยในไต้หวัน
คนใช้ประโยชน์ครึ่งปี นกใช้ประโยชน์ครึ่งปี
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่งไถเจียงและไถหนานได้ผ่านยุคแห่งการปรับตัวมาหลายครั้ง ยุคแรกคือการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ แต่พอเกิดโรคระบาดขึ้น ก็เปลี่ยนมาเลี้ยงปลาเก๋าที่มีราคาดีกว่า ตอนนี้หันไปเลี้ยงหอยตลับ กุ้งขาว ส่วนปลานวลจันทร์ทะเลมีการเลี้ยงมาตลอด คุณหวงกวงอิ๋งเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงปลาเก๋า หรือหอยตลับ จะต้องขุดบ่อลงไปให้ลึก แม้ปลานวลจันทร์ทะเลจะมีราคาดีกว่า แต่เมื่อมีการเลี้ยงกันอย่างถี่ยิบในช่วงปีที่แล้ว บ่อเลี้ยงไม่มีเวลาพักหายใจเลย จึงทำให้เกิดน้ำเสียในบ่อเลี้ยงขึ้น และที่รุนแรงยิ่งกว่านี้ก็คือ เนื่องจากนกปากช้อนหน้าดำเป็นนกประเภทลุยน้ำ ทำให้บ่อเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลที่เลี้ยงในบ่อตื้น มีความลึกพอเหมาะพอเจาะกับความเคยชินในการหาอาหารของนกปากช้อนหน้าดำ แต่เมื่อเปลี่ยนมาเพาะเลี้ยงแบบบ่อลึกตลอดทั้งปี ก็ทำให้สภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การหาอาหารของนกปากช้อนหน้าดำลดน้อยลง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของมัน
คนใช้ประโยชน์ครึ่งปี นกใช้ประโยชน์ครึ่งปี โดยในช่วงเดือนเม.ย. ถึง ต.ค. ของทุกปี จะเป็นช่วงระยะเวลาที่เกษตรกรจะปล่อยลูกปลานวลจันทร์ทะเลลงไปเลี้ยงในบ่อเลี้ยงตื้น ส่วนในช่วงระหว่างเดือนต.ค. ถึงเดือนเม.ย. ปีถัดไป จะเป็นช่วงที่นกปากช้อนหน้าดำบินมาหลบหนาวที่ไต้หวัน เมื่อน้ำในบ่อเลี้ยงปลาลดลงหลังจากจับปลาที่เลี้ยงไว้ไปขายแล้ว เศษปลาเล็กปลาน้อย และเศษกุ้งที่หลงเหลืออยู่ก้นบ่อก็กลายเป็นอาหารของนกปากช้อนหน้าดำ การหมุนเวียนในลักษณะดังกล่าวก็เปรียบเสมือนกลับไปสู่วงจรการเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลในยุคเมื่อ 300 กว่าปีก่อนที่ชาวเนเธอร์แลนด์นำเข้ามาใช้ในไต้หวัน ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมของผู้คนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี และยังสามารถอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างได้ผลอีกด้วย คุณจางเหวยเฉวียน (張維銓) ผอ. กองวนอุทยานแห่งชาติ กรมโยธาธิการไต้หวัน เล่าให้ฟังว่า ปี 2011 นกปากช้อนหน้าดำแวะมาหลบหนาวที่ไต้หวันลดลงเป็นอย่างมาก เราจึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไถหนานสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรให้แก่นกปากช้อนหน้าดำ เมื่อจับปลาไปขายแล้วก็ลดระดับน้ำให้ต่ำลง หรือปล่อยให้แห้ง แล้วตากแดดอาศัยแสงแดดฆ่าเชื้อโรค พอถึงเดือนก.พ. - มี.ค. ก็ปล่อยน้ำลงไป โรยด้วยรำข้าว เพราะรำข้าวจะเพาะพวกสาหร่ายซึ่งเป็นแหล่งอาหารของนกปากช้อนหน้าดำ
ในส่วนของเขตทดลองการเพาะเลี้ยงด้วยความเป็นมิตรในเขตซีเสี้ยว ชีกู่ รองศาสตราจารย์หวังอีควง (王一匡) คณะนิเวศและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยไถหนาน (台南大學) บอกว่า การทดลองในตอนนั้น ที่สำคัญก็คือทำตามลักษณะฤดูกาลของการเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลในบ่อตื้น ซึ่งก็คือประมาณเดือนเม.ย. ถึงประมาณเดือนต.ค. และเมื่อจับปลาไปขายแล้ว ก็ทดลองโดยการปล่อยน้ำออกให้อยู่ในระดับที่ต่ำลง โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ประกอบไปด้วย กลุ่มปลานวลจันทร์ทะเล ปลานิล และยังมีบ่อปลาธรรมชาติ โดยบ่อหนึ่งจะทดลองเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลแบบเดิม ลดระดับน้ำลง ส่วนอีกบ่อก็จะคงระดับน้ำไว้เท่าเดิม มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งพบว่า นกปากช้อนหน้าดำชอบไปหาอาหารในบ่อที่มีระดับน้ำค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ ยังมีนกประเภทลุยน้ำอื่นๆ เช่น นกกระยาง และนกชายเลนอื่นๆ ทำแบบนี้ติดต่อกันหลายปี ปรับระดับน้ำในบ่อเลี้ยงปลา ส่งผลให้มีฝูงนกมารวมตัวกันที่นี่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว
อานิสงส์สินค้ายี่ห้อ Happy
ขอเพียงพื้นที่การเพาะเลี้ยงปลาของเกษตรกรในเขตชีกู่ เพียงรายละ 10% เท่านั้น ก็เพียงพอต่อการให้นกปากช้อนหน้าดำและนกประเภทที่ใช้ชีวิตบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำอื่นๆ บินเข้ามาหลบหนาวในไต้หวัน คุณหวงกวงอิ๋งเล่าให้ฟัง และหากแต่ละครอบครัวมีพื้นที่ครอบครัวละ 10 เจี่ย (1 เจี่ย หรือ 甲 = 9699.17 m2) ก็จะใช้พื้นที่เพียง 1 เจี่ย เพาะเลี้ยงแบบบ่อตื้นก็เพียงพอแล้ว ส่วนที่เหลือก็นำไปเพาะเลี้ยงปลาเก๋า กุ้งขาว หรือหอยตลับที่มีราคาค่อนข้างสูงซึ่งใช้การเลี้ยงแบบบ่อลึก นอกจากนี้ การเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลในบ่อตื้นก็ยังสามารถเพาะเลี้ยงลูกปลาหรือปลาตัวเล็กเพื่อใช้สำหรับเป็นเหยื่อในการไปตกปลาทูน่าในทะเลน้ำลึกได้อีกด้วย และยังได้เพาะพันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า ปลานม ซึ่งเป็นปลานวลจันทร์ทะเลที่มีกระดูกค่อนข้างอ่อนนิ่มยาวไม่เกิน 20 ซม. ปัจจุบันสถานีทดลองพันธุ์สัตว์น้ำของคณะกรรมการการเกษตรไต้หวันก็กำลังประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้มีการเพาะเลี้ยงและประชาสัมพันธ์สูตรอาหารที่ทำจากปลาชนิดนี้ด้วย
ปลานวลจันทร์ทะเลกินสาหร่ายเป็นอาหารหลัก เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าเป็นปลาประหยัดพลังงานและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประเภทหนึ่ง เพราะปลาที่กินเนื้อเป็นอาหารต้องไปกินพวกปลาเล็กปลาน้อยและกุ้ง เนื่องจากการบริโภคอาหารทุก 1 โซ่อาหาร จะเหลือพลังงานที่เพิ่มเป็นน้ำหนักได้เพียง 10% เท่านั้น คุณหวงกวงอิ๋งบอกอีกว่า เพราะฉะนั้น ปลานวลจันทร์ทะเลที่กินอาหารชั้นปฐมภูมิแบบนี้ นอกจากจะทำให้มีรสชาติเป็นเลิศแล้ว ยังเป็นปลาที่ไม่ต้องกินอาหารที่ต้องใช้พลังงานที่สูญเปล่าอื่นๆ อีก จึงเป็นปลาที่ประหยัดพลังงานมากชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้วิธีการเพาะเลี้ยงบ่อตื้นในลักษณะของ คนใช้ประโยชน์ครึ่งปี นกใช้ประโยชน์ครึ่งปี ประสมประสานกับอาหารในท้องถิ่น ทำเป็นอาหารกระป๋อง กระเพาะปลา หรือลูกชิ้นปลา และก็ยังได้รับอานิสงส์จากเครื่องกระป๋องยี่ห้อ Happy ที่ผ่านการรับรองว่ามาจากบ่อเพาะเลี้ยงที่เป็นมิตรกับนกปากช้อนหน้าดำ สร้างคุณค่าให้แก่แบรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับสัญลักษณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำนั้น คุณจางเหวยเฉวียนบอกว่า เมื่อกฎหมายอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำมีผลบังคับใช้แล้ว สัญลักษณ์รับรองพื้นที่ชุ่มน้ำใบแรก ได้มอบให้แก่วนอุทยานแห่งชาติไถเจียง นอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนกปากช้อนหน้าดำแล้ว ยังหวังว่าสินค้าที่ได้รับตรารับรองว่าเป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ซึ่งก็ปรากฏว่า ในการประชุมใหญ่พื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ 2016 เทศกาลตลาดนัดนวัตกรรมสินค้าจากพื้นที่ชุ่มน้ำก็ได้เปิดฉากขึ้นที่อุทยานพืชสวนโลกไทเป จำหน่ายสินค้ายี่ห้อ Happy และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทีเดียว
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิทยาอย่างยั่งยืน
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิทยามีลักษณะพิเศษ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรกเป็นการท่องเที่ยวขนาดย่อมค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม ประการที่ 2 เป็นการท่องเที่ยวเชิงความรู้ นักท่องเที่ยวจะได้รับความรู้เพิ่มขึ้น และประการที่ 3 คือผลกำไรที่ได้จะต้องคืนให้แก่ท้องถิ่น คุณหวงกวงอิ๋ง บอกว่า เปลี่ยนชาวประมงมาเป็นไกด์ ใช้เวลาที่ว่างจากการเลี้ยงปลา ใช้เรือรับนักท่องเที่ยวและเล่าเรื่องราวให้นักท่องเที่ยวฟัง ปัจจุบันที่บึงเซี่ยหู ชีกู่ ไถเจียง มีแพจับปลา 5 ลำ ประกอบอาชีพนำนักท่องเที่ยวเที่ยวชมเชิงนิเวศวิทยา ชาวประมงนำนักท่องเที่ยวเที่ยวชมบึงเซี่ยหู นอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับนกปากช้อนหน้าดำแล้ว ยังมีโอกาสได้รับความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำของชาติ และนกอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในแหล่งเดียวกัน และสภาพแวดล้อมของบึงเซี่ยหูที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน เป็นต้น ส่วนสิ่งที่เรียกกันว่าภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมมีความหมายแห่งวัฒนธรรมในตัวของมัน และยังมีสีสันแห่งการอนุรักษ์ระบบนิเวศ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า คนเราได้อาศัยและใช้ชีวิตอยู่ในระบบนิเวศที่มีภูมิทัศน์เช่นนี้นั่นเอง
เมื่อเรากล่าวถึงความต้องการที่พักของนักท่องเที่ยวแล้ว คุณกัวตงฮุยเห็นว่า หากจะสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ คงสู้การเปิดเกสต์เฮาส์ที่มีสีสันวัฒนธรรมในท้องถิ่นไม่ได้เป็นแน่ จึงได้เริ่มบูรณะบ้านเก่าในหมู่บ้านชาวประมงที่รกร้างว่างเปล่ามานาน บวกกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีศาลาชมนก และอุโมงค์ธรรมชาติหลากหลายด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด แล้วเสริมเติมแต่งด้วยกิจกรรมเสริมความรู้ชมนกและวาดภาพในวนอุทยานแห่งชาติไถเจียง รูปแบบการดำเนินชีวิตที่รวมธรรมชาติกับมานุษยวิทยาเข้าไว้ด้วยกัน ตลอดจนสิ่งที่สืบทอดมาช้านานเช่นนี้ ได้ตอบรับสปิริตซาโตมายะและซาโตยูมิแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการประชุมความหลากหลายทางชีวภาพครั้งที่ 10 (CBD-COP10) สหประชาชาติ เมื่อปีค.ศ.2010 อนุญาตให้ชาวบ้านที่พำนักอาศัยอยู่แนวชายฝั่งทะเล อาศัยการใช้ชีวิตประสมประสานกับความรู้ความเข้าใจ และการอนุรักษ์ที่ได้จากผืนแผ่นดินนี้ ผลักดันต่อไปอย่างยั่งยืน และนี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้วนอุทยานแห่งชาติไถเจียง กรมป่าไม้ และเทศบาลนครไถหนาน คว้ารางวัลผลสำเร็จแห่งการอนุรักษ์จากสหพันธ์นกนานาชาติ (BirdLife International)
แบบอย่างแห่งความร่วมมือระหว่างประเทศ
ความร่วมมือระหว่างประเทศในการอนุรักษ์นกปากช้อนหน้าดำ ไต้หวันต้องมีส่วนร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่เคยขาด นอกจากจะจับมือกับเกาหลีใต้ จีนแผ่นดินใหญ่ และญี่ปุ่นแล้ว ในปี 2014 ยังได้ร่วมมือกับ Dr. Shibaev ผู้เชี่ยวชาญทางด้านปักษีวิทยาแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติรัสเซีย สาขาตะวันออกไกล นำเครื่องจับสัญญานดาวเทียมไปติดตั้งไว้บนตัวนก 2 ตัว ในเขตตะวันออกไกลของรัสเซียในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2016 ซึ่งเป็นเขตที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกปากช้อนหน้าดำที่สำคัญที่สุด มีฝูงนกปากช้อนหน้าดำหลายสิบคู่แพร่พันธุ์ที่นี่ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือครั้งแรกระหว่างไต้หวันกับรัสเซีย นอกจากนี้ คุณหวงกวงอิ๋งยังบอกอีกว่า แม้จะมีอยู่ตัวหนึ่งที่ไม่มีสัญญาณเป็นเวลาเดือนเศษก็ตาม แต่มีอยู่ตัวหนึ่งที่บินไปเข้าฝูงนกที่เกาหลีใต้ แล้วบินข้ามทะเลเหลือง ไปหลบหนาวทางทิศเหนือของเกาะฉงหมิงในมณฑลเจียงซูของจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งก็หวังว่าเจ้านกตัวนี้จะบินมาหลบหนาวที่ไต้หวัน
นอกจากนี้ วนอุทยานแห่งชาติไถเจียงกับสมาคมนกป่าไถหนานยังได้จับมือกัน โดยร่วมกับศาสตราจารย์หวังอิ่ง (王穎) คณะชีววิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Normal University : NTNU) ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณไว้บนตัวนกหลายสิบตัว ประกอบกับการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารกับหลายประเทศ ทั้งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีนแผ่นดินใหญ่ และเวียดนาม ทำให้ทราบวัฏจักรวงจรชีวิตของนกปากช้อนหน้าดำได้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ หมายความว่าไม่เพียงแต่ศึกษาการแพร่พันธุ์ของมันอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องรวมไปถึงการศึกษาเส้นทางการอพยพโยกย้ายของมัน ซึ่งรวมถึงแหล่งพักพิงกลางทางและแหล่งหลบหนาวด้วย นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น แต่ประเทศทั่วโลกจะต้องจับมือกันร่วมอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ต่างๆ หากมีอะไรบกพร่องแม้เพียงน้อยนิด ก็อาจกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อพันธุ์สัตว์นั้นๆ ได้ และก็จะต้องจับมือกันทั่วโลก การอนุรักษ์พันธุ์สัตว์จึงจะประสบความสำเร็จได้
ความหมายที่เราได้จากการอนุรักษ์นกปากช้อนหน้าดำ
หากจะบอกว่าป่าไม้เสมือนปอดของโลก เขตพื้นที่ชุ่มน้ำก็จะเปรียบเสมือนไตของโลก ทำหน้าที่กรองน้ำที่ไหลหลั่งมาจากทั่วทุกสารทิศของโลกให้สะอาดบริสุทธิ์ นอกจากจะเก็บกักน้ำป่าแล้ว ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและกุ้งที่สำคัญอีกด้วย คุณหวงกวงอิ่ง บอกอีกว่า คุณลองดูบึงเซี่ยหูที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวันแห่งนี้ดูซิ เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ที่นี่ก็จะปรากฏลูกปลาเล็กปลาน้อยนานาชนิดมากมาย เป็นคลังเพาะพันธุ์ปลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำประมงในทะเลใกล้ของไต้หวัน อาจกล่าวได้ว่า ลูกปลานานาพันธุ์เหล่านี้เป็นผลผลิตมาจากการอนุรักษ์นกปากช้อนหน้าดำนี้นั่นเอง
ภายใต้ความพยายามร่วมกันของทางการองค์กรเอ็นจีโอ และกลุ่มอนุรักษ์ ตลอดจนนักวิชาการและผู้ประกอบการ ทำให้มาตรการต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อนกปากช้อนหน้าดำ ปลุกกระแสแห่งภูมิทัศน์วัฒนธรรมให้มีชีวิตชีวา สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน และนี่ก็คือความหมายสำคัญที่สุดของการอนุรักษ์นกปากช้อนหน้าดำ เพราะมันเป็นสัญลักษณ์แห่งประวัติศาสตร์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ไถหนานเมื่อ 300 ปีเศษที่ผ่านมา ตลอดจนทำให้ผู้คนได้เข้าใจวิถีชีวิตที่ต้องดูแลเอาใจใส่ผืนดินชุ่มน้ำแห่งนี้นั่นเอง