การหยั่งรากของวัฒนธรรมการกินซาฉา
ซอสซาฉาได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาวไต้หวัน คุณเฉินจิ้งอี๋ (陳靜宜) นักเขียนตำราและบทความเกี่ยวกับอาหารได้ยกให้ “ซาฉา” เป็นราชาแห่งเครื่องปรุง และเมื่อเราลองย้อนประวัติความเป็นมาของซอสซาฉาในไต้หวันก็จะพบว่า เรื่องราวอาจไม่ได้ผ่านมายาวนานอย่างที่คิด ย้อนกลับไปในยุคที่สงครามเพิ่งจะสิ้นสุดลง ขณะนั้นซาฉายังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวไต้หวัน สาเหตุมาจากการที่ไต้หวันเป็นสังคมเกษตรกรรม ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการห้ามรับประทานเนื้อวัว ขณะที่เนื้อวัวนั้นกลับเป็นวัตถุดิบหลักที่มักนำไปประกอบอาหารคู่กับซอสซาฉา
นอกจากการปรับปรุงสูตรหม้อไฟซาฉาของร้านอาหารแล้ว การทำบรรจุภัณฑ์ให้อยู่ในรูปกระป๋องที่จัดเก็บและพกพาง่ายก็เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ผลักดันให้ซอสซาฉาเป็นที่รู้จักมากขึ้น คุณหลิวหลายชิน (劉來欽) ซึ่งพื้นเพเดิมเป็นชาวแต้จิ๋ว ได้สร้างแบรนด์ซอสซาฉาบรรจุกระป๋องภายใต้ชื่อ “หนิวโถวผาย” (牛頭牌 : Bull Head) จนกลายเป็นที่รู้จักของทุกครัวเรือน ทั้งยังถูกส่งออกไปจำหน่ายหลากหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมียี่ห้อ “ชื่อหนิวผาย” (赤牛牌) “หวงหนิวผาย” (黃牛牌) และ “เฮยหนิวผาย” (黑牛牌) ของคุณตู้เซี่ยง (杜象) จากซ่านโถว (汕頭) ซึ่งเป็นแบรนด์ดังที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันด้วย
“การที่ชาวไต้หวันเริ่มให้การยอมรับในซอสซาฉามากขึ้น สัมพันธ์กับการเติบโตของเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด รวมถึงพัฒนาการของสังคมเมืองและสังคมชนบทอย่างมีนัยสำคัญ” รองศาสตราจารย์เจิงหลิงอี๋ชี้ว่า ย่านซีเหมินติง (西門町) ในกรุงไทเปและเขตเหยียนเฉิง (鹽埕) ของนครเกาสง เป็นย่านเก่าแก่ที่เริ่มมีการพัฒนาในสมัยที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น และในย่านเดียวกันนี้เอง ก็เป็นแหล่งที่ร้านอาหารเมนูซาฉาผุดขึ้นมามากมาย อีกทั้งมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด เมื่อสังคมเกษตรกรรมผันตัวกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม หนุ่มสาวชนบทจำนวนไม่น้อยจึงเลือกที่จะหันหลังให้กับท้องไร่ท้องนา มุ่งหน้าแสวงหาการดำรงชีวิตที่ดีกว่าในสังคมเมืองใหญ่ หลังเลิกงาน พวกเขาจะเปิดร้านอาหารขายเมนูซาฉาในย่านที่มีคนพลุกพล่าน ภายหลังร้านเหล่านี้กลายเป็นแหล่งแฮงเอาต์ยอดนิยมแห่งหนึ่ง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้วัฒนธรรมการไม่กินเนื้อของชาวไต้หวันค่อย ๆ เลือนหายไป
แม้ในปัจจุบัน การกินหม้อไฟซาฉาอาจดูเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างจะโบราณไปนิด แต่หากย้อนกลับไปในช่วง ค.ศ.1960-1980 แล้ว สมัยนั้นการกินหม้อไฟซาฉาถือเป็นกิจกรรมที่ดูทันสมัยเอามาก ๆ คุณอู๋เจิ้นหาวเล่าให้ฟังว่า เขายังจำได้สมัยก่อนผู้คนมักจะไปต่อกันที่ร้านหม้อไฟซาฉาหลังจากชมภาพยนตร์ที่ย่านซีเหมินติง ราวกับเป็นตารางกิจกรรมแฮงเอาต์ประจำของผู้คนในยุคนั้นเลยก็ว่าได้
นอกจากแรงสนับสนุนจากลูกค้าที่เป็นบุคคลธรรมดาทั่วไปแล้ว การปรากฏตัวของศิลปินและบุคคลที่มีชื่อเสียงยังเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ร้านซาฉาเหล่านั้น มีความน่าสนใจและได้รับกระแสนิยมมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น การมาเยือนของศิลปินชื่อดังอย่าง เฟ่ยอวี้ชิง (費玉清) และเติ้งลี่จวิน (鄧麗君) ทำให้กลิ่นหม้อไฟของร้าน “ซ่านโถวเทียนเทียนซาฉาหั่วกัว” (汕頭天天沙茶火鍋) ที่ตั้งอยู่ในนครเกาสง ส่งกลิ่นหอมโชยไปไกลทั่วไต้หวัน ขณะเดียวกัน ร้าน “หยวนเซียงซาฉาหั่วกัว” (元香沙茶火鍋) ก็มีชื่อเสียงโด่งดังเนื่องจากเป็นร้านโปรดของดาราชื่อดังอย่าง หลินชิงเสีย (林青霞) ฉินฮั่น (秦漢) และจางเสี่ยวเยี่ยน (張小燕) เป็นต้น
แม้ว่ายุคทองของหม้อไฟซาฉาจะสิ้นสุดลง แต่ทว่าในปัจจุบันร้านหม้อไฟส่วนใหญ่ในไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นร้านหม้อไฟแบบซาฉา หรือจะเป็นร้านหม้อไฟสไตล์ฮ่องกง แม้แต่ร้านชาบูสไตล์ญี่ปุ่นก็ล้วนมีซอสซาฉาไว้บริการทั้งสิ้น สำหรับชาวไต้หวันที่ชื่นชอบการรับประทานหม้อไฟแล้ว เมื่อใดที่ไม่มีซอสซาฉา ก็เปรียบเสมือนความสุขในชีวิตมีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป
คุณเจิงหลิงอี๋ ผู้เขียนหนังสือ "The Untold Story of Shacha Sauce" เธอตระเวนตามร้านซาฉาต่าง ๆ เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของเครื่องปรุงชนิดนี้
ร้าน “หยวนเซียงซาฉาหั่วกัว” เปิดให้บริการครั้งแรกบนตรอกเอ๋อเหมย ในย่านซีเหมินติง เป็นร้านหม้อไฟซาฉาเก่าแก่ของกรุงไทเปที่ไม่เป็นสองรองใคร ( ภาพโดย : อู๋เจิ้นหาว)
ซอสซาฉามักใช้เป็นเครื่องปรุงในอาหารจานด่วนของชาวไต้หวัน สามารถนำมาผัดกับบะหมี่หรือปรุงในข้าวผัด แถมยังเข้ากันได้ดีกับเมนูผัดผัก เช่น ผัดผักคะน้าและผัดกะหล่ำปลีเป็นต้น