ป่าแห่งความยั่งยืน กับการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ
จุดหมายปลายทางของถนนต้าลู่หลินเต้าคือ บ้านพักกวนอู้ซานจวง (Guanwu Cabins) ซึ่งรถยนต์สามารถเข้ามาถึงได้เพียงแค่จุดนี้ เป็นจุดที่อยู่บนกิโลเมตรที่ 56
กวนอู้ซานจวง เดิมทีคือบ้านพักของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ แต่ได้รับความเสียหายอย่างหนักในปีค.ศ.2004 เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นอาเอเร (Aere) และเปิดทำการใหม่ในปีค.ศ.2018 หลังผ่านไป 13 ปี ที่บริเวณทางเข้าด้านหน้า ด้านหนึ่งเป็นต้นซากุระอู้เซ่อ (Prunus taiwaniana) อายุเกือบร้อยปี ซึ่งจะบานสะพรั่งในเดือนมีนาคมของทุกปี อีกด้านหนึ่งคือต้นอบเชยไต้หวัน (Sassafras randaiense) ซึ่งเป็นต้นไม้โบราณที่หลงเหลือมาจากยุคน้ำแข็งครั้งที่ 3 และเป็นพันธุ์ที่มีเฉพาะในไต้หวันเท่านั้น ซึ่งจะออกดอกในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ภาพของดอกไม้สีเหลืองทองที่บานสะพรั่งอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ถือเป็นทิวทัศน์ที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
วันรุ่งขึ้น เราเปลี่ยนมาใช้วิธีเดินเท้าเพื่อทำการสำรวจวนอุทยานกวนอู้
คุณหลินอวี้ฉิน (林玉琴) ซึ่งเป็นอาสาสมัคร พร้อมด้วยคุณหลี่เซิงหมิง (李聲銘) ผู้เชี่ยวชาญ คือไกด์ของเราในวันนี้ โดยเราเลือกไปเดินสำรวจตามเส้นทางเดินป่าภูเขาไคว่ซานเพื่อชมมวลหมู่ต้นไม้ยักษ์ คุณหลินอวี้ฉิน ซึ่งทำงานเป็นอาสาสมัครอยู่ที่นี่มานานกว่า 30 ปี ได้สอนให้เราได้รู้จักความแตกต่างของต้นสนฮิโนกิไต้หวันกับต้นสนฟอร์โมซา (หรือต้นสนแดงไต้หวัน) ที่มีความคล้ายคลึงกันมาก โดยลักษณะของต้นสนฮิโนกิไต้หวันจะเติบโตเป็นลำต้นใหญ่สูงขึ้นในแนวดิ่งเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ต้นสนฟอร์โมซาจะมีกิ่งก้านสาขามากกว่า และมักจะถูกแบคทีเรียหรือเชื้อรากัดกิน จนทำให้ส่วนลำต้นที่อยู่ใกล้กับรากจะมีลักษณะกลวง โดยคุณหลินอวี้ฉินบอกว่า ลักษณะของป่าไม้ในไต้หวันที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางจะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่จากวนอุทยานกวนอู้จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันตระการตาของแนวสันเขาที่เรียกว่า “เซิ่งหลิงเซี่ยน (สันเขาศักดิ์สิทธิ์)” ได้ง่ายกว่า ซึ่งตลอดทางของกิโลเมตรที่ 3-4 ของเส้นทางเดินป่าภูเขาเล่อซานจะสามารถมองไปเห็นแนวสันเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากการเรียงตัวของภูเขาต้าป้าเจียนซาน เสี่ยวป้าเจียนซาน และภูเขาเสวี่ยซาน ถือเป็นทิวทัศน์ที่ดึงดูดสายตาของเราเป็นอย่างมากจนยากจะลืมเลือน และมีเพียงที่นี่เท่านั้นที่คุณจะมีโอกาสได้เห็นดอกเทียนบ้านตี้มู่ (Impatiens devolii) ดอกเทียนบ้านสีเหลือง (Impatiens tayemonii) และดอกเทียนบ้านสีม่วง (Impatiens uniflora) อยู่ในสถานที่แห่งเดียวกันตามธรรมชาติ อีกทั้งที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่มีการค้นพบซาลาแมนเดอร์ไต้หวัน (Hynobius fuca) เจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ชอบอาศัยอยู่ในเงามืดชื้นๆ ใต้ก้อนหิน ถือเป็นสัตว์โบราณที่มีชีวิตอยู่บนโลกตั้งแต่ในยุคน้ำแข็ง และเป็นประจักษ์พยานที่ถูกนำมาใช้ในการสันนิษฐานเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศในไต้หวันในช่วงแรกได้เป็นอย่างดี
การจำแนกชนิดของต้นไม้ถือเป็นความสามารถพิเศษของคุณหลินเซิงหมิง เมื่อมองไปยังมวลหมู่พฤกษานานาพรรณที่ปกคลุมอยู่เต็มพื้นดินจะสามารถระบุได้ว่า นี่คือต้นสาบแร้งสาบกาอาลีซาน (Stellaria arisanensis) ที่ดอกของมันดูแล้วเหมือนกระต่าย 5 ตัวกำลังประชุมกันอยู่ นี่คือต้นกล้วยไม้หม่าเปียนหลัน (Cremastra appendiculata) ต้นพวงแก้วกุดั่น (Dichocarpum arisanensis) ที่หาดูได้ยากมาก รวมไปจนถึงต้นหญ้าซั่วน่าเฉ่า (Mitella) ที่มีลักษณะคล้ายหางแมงป่อง ต้นฟอร์โมซาไวโอเล็ต ต้นปาเจี่ยวเหลียน (Dysosma) รวมไปจนถึงต้นไม้ผีอาลีซาน (Monotropa uniflora) ที่จะโผล่พ้นจากดินเฉพาะในช่วงที่ออกดอกเท่านั้น ต่างก็ไม่สามารถรอดสายตาของคุณหลี่เซิงหมิงไปได้
บนทางเดินสำหรับชมหมู่ต้นไม้ยักษ์ คุณหลินเซิงหมิงเก็บผลของต้นสนฟอร์โมซาที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มม. ขึ้นมาให้เราดู หลังจากแกะเปลือกออกก็จะเห็นเมล็ดของมันที่มีขนาดเล็กกว่าเมล็ดงาเสียอีก เมื่อหันกลับไปดูต้นไม้ยักษ์ซึ่งสูงถึง 42 เมตรที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า คุณหลินเซิงหมิงบอกความรู้สึกลึกๆ ภายในใจกับเราว่า “เมล็ดเล็กๆ แค่นี้ ต้องฝ่าฟันกับภัยธรรมชาติ น้ำมือมนุษย์ รวมไปจนถึงหนอนแมลงและแบคทีเรียสักขนาดไหน กว่าจะเติบโตมาเป็นต้นไม้สูงใหญ่ได้ขนาดนี้ ถือว่าเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย”
ในการเดินทางขี่จักรยานท่องไปในไต้หวันทริปนี้ เรามีโอกาสได้สำรวจร่องรอยของอุตสาหกรรมป่าไม้ในซินจู๋ ที่เคยมีผู้คนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้จำนวนไม่น้อย เคยเดินผ่านตามเส้นทางสายนี้ และผืนป่าแห่งนี้ก็เคยเสียหายอย่างหนักจากความไม่รู้จักพอของมนุษย์ โชคดีที่เราพยายามรักษารอยแผลอย่างเต็มที่ด้วยการปลูกป่าให้กลับคืนมา ทำให้เราได้ตระหนักว่า มีเพียงแต่การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติเท่านั้น จึงจะเป็นเส้นทางไปสู่ความยั่งยืนที่จะช่วยให้ลูกหลานของเราได้มีโอกาสมีป่าเป็นแหล่งพักพิง
การขี่จักรยานไปบนทางในป่าที่มีแสงแดดสาดส่องลอดลงมาตามเงาไม้ การได้มีโอกาสสูดโอโซนเข้าไปเต็มปอด สองข้างทางเต็มไปด้วยทิวป่าเขียวขจี เพียงพริบตาเดียว จู่ๆ สายหมอกก็พัดผ่านเข้ามาจนทำให้มองออกไปได้ไม่ถึงสองเมตร และเมื่อเลี้ยวออกจากทางโค้ง ก็จะมองเห็นทะเลเมฆที่ลอยละล่องดุจดั่งเกลียวคลื่นที่ซัดสาด ภาพที่เห็นทำให้เรานึกถึงชื่อของกวนอู้ที่หมายถึงการชมหมอกว่า ช่างเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นได้อย่างคล้องจองกับสภาพความเป็นจริงของที่นี่เป็นอย่างมาก เราโชคดีมากที่มีโอกาสได้มาชื่นชมทิวทัศน์อันงดงาม พร้อมทั้งโผผินเข้าสู่อ้อมกอดแห่งสายลมและแสงแดด ซึ่งมีเพียงแต่ผู้ที่รักการขี่จักรยานทั้งหลายเท่านั้น จึงจะมีโอกาสได้รับสัมผัสแห่งความสุขเช่นนี้
ทะเลเมฆในยามสนธยา คือทิวทัศน์อันเลื่องชื่อของกวนอู้